ภูมิใจไทย หลัง ศาล รธน.วินิจฉัย ‘ศักดิ์สยาม’

สะเทือนบ้านใหญ่ค่ายบุรีรัมย์ไม่น้อย สำหรับคำวินิจฉัยของ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ สิ้นสุดสมาชิกภาพจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

หลังอ่านคำพิพากษาจบไม่นาน นายศักดิ์สยามได้ให้สัมภาษณ์ เคารพการตัดสินของศาล ตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม แสดงความรับผิดชอบยื่นหนังสือลาออกจากเก้าอี้เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.ของพรรคในทันที

คำร้องนี้ นายศักดิ์สยามถูกอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ยื่นเรื่องวินิจฉัยว่ากระทำการที่ผิดรัฐธรรมนูญ ในประเด็นห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้น

ประเด็นนี้ถูกพูดถึงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ตั้งคำถามว่านายศักดิ์สยามได้ตั้ง “นอมินี” ขึ้นมาเพื่อปกปิดทรัพย์สินของตัวเองหรือไม่

เหตุการณ์สำคัญคือ นายศักดิ์สยามได้โอนหุ้นของบริษัทออกไปทั้งหมดให้กับ “นอมินี” เป็นจำนวนกว่า 119 ล้านบาท โดยไม่ปรากฏหลักฐานการชำระเงินใดๆ

ซึ่งนอมินีคนดังกล่าว ได้แจ้งต่อกรมสรรพากรว่ามีรายได้ในระหว่างปี 2558-2563 เดือนละประมาณ 9,000 บาทเท่านั้น

ขณะที่การยื่นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของนายศักดิ์สยามในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ระบุว่า นายศักดิ์สยามมีทรัพย์สินร่วม 115 ล้านบาท มีเงินสดและเงินฝากราว 76.3 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน

เป็นพิรุธทันที เพราะนายปกรณ์วุฒิตั้งคำถามว่า เงินจากการโอนหุ้นกว่า 119 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นเพียง 23 วันก่อนนายศักดิ์สยามจะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น หายไปไหน

นั่นจึงนำมาซึ่งการร้องเรียนการซุกหุ้นนิติกรรมอำพรางต่อศาลรัฐธรรมนูญ

เป็นอันว่าคำวินิจฉัยที่รอคอยมานานเกือบ 1 ปีครึ่ง ก็จบลง ส่งผลต่อชะตากรรมทางการเมืองของนายศักดิ์สยามจากนี้ที่จะไม่เหมือนเดิม

 

ประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องหนึ่งคือ การมองว่านายศักดิ์สยามยังเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว นั่นหมายความว่าจะมีปัญหาตามมาอีกมากในทางคดี เพราะบริษัทดังกล่าวไปรับงานประมูลโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมอีกนับเป็นมูลค่ามหาศาลหลักพันล้าน

ขณะที่การกระทำของนายศักดิ์สยาม เกิดขึ้นขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคซึ่งเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคคนสำคัญ

ผลกระทบในระยะสั้น ตรงไปตรงมา คือการที่นายศักดิ์สยามจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้เป็นเวลา 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 นับถึงวันนี้ก็อีกปีเศษๆ เท่านั้น

แต่แน่นอนว่าผลกระทบทางการเมืองและคดีความดังกล่าวจะยังไม่จบแค่นี้ เพราะฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล หรือ กกต. ก็จะดำเนินการยื่นคำร้องเพื่อเอาผิดต่อเนื่องต่อไป

และที่เป็นที่พูดคุยกันอย่างกว้างขวางในแวดวงการเมืองก็คือ จากข้อมูลที่ศาลอ่านรายละเอียด โดยเฉพาะปมบริจาคเงินเข้าพรรคของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ผลกระทบอาจลามไปมากกว่าที่คิด

ไม่ใช่แค่ผลกระทบส่วนตัว ด้วยสถานะความเป็นเลขาธิการพรรค เมื่อเทียบกับคำวินิจฉัยกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ ยิ่งชวนคิดเปรียบเทียบ

ครานั้น “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ให้เงินพรรคกู้ยืมมาดำเนินการบริหารในพรรค แม้เปิดเผยโปร่งใสในการชี้แจงต่างๆ แต่ศาลรัฐธรรมนูญมองว่า เงินดังกล่าวคือเงินบริจาค ถือว่าฝ่าฝืน พ.ร.ป.พรรคการเมือง เป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคอีก 10 ปี

และเมื่อนำกรณีของนายศักดิ์สยาม และพรรคภูมิใจไทย มาเทียบเคียง จึงน่าจับตา

ซึ่งก็ต้องโฟกัสไปที่พรรคก้าวไกล ในฐานะตัวหลักสำคัญในการแฉเรื่องนี้ในสภาในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ กระทั่งนำมาสู่การร้องศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะขยายผลหรือไม่อย่างไร จะเดินเกมเขี่ยลูกไปยังองค์กรอิสระอย่าง กกต.-ป.ป.ช. หรือไม่ อย่างไร

 

นอกจากผลทางกฎหมายที่มีต่อตัวนายศักดิ์สยามและอาจจะมีต่อพรรคภูมิใจไทยในอนาคต

สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีเลยคือผลภาพลักษณ์ทางการเมืองที่เกิดกับพรรคภูมิใจไทย

พรรคภูมิใจไทยคือพรรคการเมืองที่มีเสียงเป็นอันดับ 2 ในแกนนำฝ่ายรัฐบาล เป็นรองเพียงพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่เป็นตัวแปรทางการเมืองสำคัญ ชี้ชะตารัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทยได้

การขาดกำลังสำคัญอย่างนายศักดิ์สยาม เท่ากับภูมิใจไทยขาดฟันเฟืองสำคัญไปอีกคน

ยิ่งน่าจับตายิ่งกว่าคือหลังจากนี้ เพราะคดีซุกหุ้นครั้งนี้หากจะมีการดำเนินต่อเนื่อง ผลกระทบจะเกิดกับพรรคภูมิใจไทยเต็มๆ เนื่องจากนายศักดิ์สยามมีบทบาทสำคัญในพรรค

คำถามคือ จะเกิดกรณีการ “ยกเข่ง” ขึ้นหรือไม่ เช่นที่เกิดขึ้นกับแกนนำอนาคตใหม่ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริง รัฐบาลก็ “งานเข้า”

ผู้สื่อข่าวนำคำถามนี้ไปถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทยในฐานะหัวหน้า เจ้าตัวตอบกลับในลักษณะไม่มีความกังวลแต่ไม่อยากให้เหมารวม โดยชี้ว่า เป็นเรื่องการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องของพรรค

“แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบการแจกแจงทรัพย์สินให้กับทางรัฐรับทราบ นี่จึงเป็นเจตนารมณ์ในการแจ้งทรัพย์สินไป หากแจ้งไม่ถูกมีคนมาตรวจสอบก็ต้องแก้ไขให้ได้ หากแก้ไขไม่ได้ก็นำไปสู่การดำเนินคดี การร้องเรียนต่างๆ พร้อมย้ำว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่พรรคก็ยังเป็นพรรค ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป” นายอนุทินระบุ

 

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ บทบาททางการเมืองและการดำรงอยู่ของพรรคภูมิใจไทย และการเมืองบ้านใหญ่ตระกูลชิดชอบ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

เพราะนายศักดิ์สยาม คือ ทายาทการเมืองรุ่นที่ 2 ที่เข้ามารับตำแหน่งการเมือง ลงเล่นการเมือง รับมรดกจาก พี่ใหญ่ นายเนวิน ชิดชอบ

ทั้งนายอนุทินและนายศักดิ์สยาม ล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ลงสนามต่อสู้กันภายใต้การนำทางความคิดของพี่ใหญ่ เนวิน ชิดชอบ

ทั้งสองคนล้วนมีความเชี่ยวกรำในทางการเมือง ออกหน้านำมาตั้งแต่คราวพลิกขั้วร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทั่งนำทัพภูมิใจไทย ร่วมกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างการเติบโตทางการเมืองระดับมหาศาลให้พรรค อยู่ร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาลมาตลอด เช่นเดียวกับคราวนี้

คำตัดสินวันนี้จึงเท่ากับเป็นการแช่แข็ง 1 ในแม่ทัพคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย

แต่แน่นอน บ้านใหญ่ชิดชอบได้วางตัวทายาทการเมืองรุ่น 3 ไว้แล้ว นั่นคือ ไชยชนก ชิดชอบ ซึ่งปัจจุบันชนะการเลือกตั้งเป็น ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 2 สมัยแรก (แว่วๆ ว่าเร็วๆ นี้อาจได้รับตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการบริหารพรรค)

แต่ด้วยอายุยังไม่ถึงเกณฑ์นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี และอุบัติเหตุทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับนายศักดิ์สยาม ตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ จึงตกเป็นของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ในวันนี้

 

แม้คำตัดสินจะส่งผลด้านลบกับพรรคภูมิใจไทย แต่ในมิติเชิงอุดมการณ์ ภูมิใจไทยก็ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่มีความชัดเจนในจุดยืนการเมืองแบบอนุรักษนิยม

ชัดเจนยิ่งกว่าพรรคเพื่อไทยในหลายๆ เรื่อง

ในสภาพการเมืองไทยขณะนี้ที่ฝ่ายอนุรักษ์เพิ่งพ่ายแพ้ในเกมการเลือกตั้ง แต่ด้วยวิธีการทางการเมืองในรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ก็ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์พลิกกลับมาครองอำนาจได้

สภาวการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีพรรคภูมิใจไทยไว้ในสนามอำนาจเพื่อต่อสู้และต่อรองกับฝ่ายพลังใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง

แม้ภูมิใจไทยจะมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ผู้เล่นหลักคนสำคัญในพรรคหายไป 1 คน แต่บ้านใหญ่ชิดชอบ ก็ยังมีอำนาจนำทางความคิด ทั้งยังส่งทายาทการเมืองที่มาสานต่อ ในรุ่นที่ 3

และหากเป็นไปตามเงื่อนไขทางการเมือง ณ วันนี้ อีกแค่ปีเศษๆ นายศักดิ์สยามก็จะกลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่อ

ที่สำคัญผู้เล่นหลักของพรรคคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังอยู่ ทั้งยังมีบทบาททางการเมืองในระดับสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งในตัวหลักในการออกมาสู้กับฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกลในมิติทางการเมือง

ยังมีตำแหน่งสำคัญคือรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นำทัพภูมิใจไทย ซึ่งยังคว้าปลามัน เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญในรัฐบาลเพื่อไทยอีกหลายกระทรวง ควบคุมการบริหารงบประมาณมหาศาล

ยิ่ง “มท.หนู” มีข่าวการทำงานเกิดขึ้นตลอด ใช้กระทรวงในสังกัดให้เป็นประโยชน์ ไม่ยอมให้เพื่อไทยเดินหน้าทำเกมสร้างคะแนนนิยมคนเดียว

การเมืองหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทย จึงยังดำเนินต่อไป

เครื่องบินภูมิใจไทยภายใต้กัปตันหนูเทกออฟมาแล้ว ต้องบินต่อไป

เพียงแต่วันนี้ ระหว่างเส้นทางที่บินมาและกำลังจะบินไป อาจจะต้องมองหารันเวย์บ้าง เผื่อไว้กรณีลงต้องจอดฉุกเฉินสักหน่อย