ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
ทฤษฎี ‘สองนคราประชาธิปไตย’
ยังทันสมัยอยู่หรือไม่?
ผลการเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคมปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจในบรรดาผู้เกาะติดการเมืองมายาวนานว่า : ทฤษฎี ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ที่ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยนำเสนอเอาไว้เมื่อ 30 ปีก่อนยังทันสมัยอยู่หรือไม่?
ผมชวนสองนักวิชาการรุ่นใหม่ที่ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้คนที่เกี่ยวข้องก่อนการเลือกตั้งมาตั้งวงคุยเพื่อหาคำตอบว่าที่เคยเชื่อกันว่า “คนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล” ยังเป็นจริงอยู่หรือไม่?
มีข้อสรุปที่น่าสนใจมากจากงานวิจัยร่วมของ ดร.ณพล จาตุศรีพิทักษ์, เมธิส โลหเตปานนท์ และ Allen Hicken ที่เพิ่งจะตีพิมพ์ใน Contemporary Southeast Asia
แต่เพื่อให้เนื้อหาครบวงจร ผมชวน ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ มาร่วมวงเสวนาด้วย
ได้มุมมองหลายด้านที่ชวนคิดและชวนวิเคราะห์กันต่อไปอย่างมากมาย
ดร.ณพลเท้าความว่าทฤษฎี “สองนคราฯ” มีภาพว่าการเมืองไทยเป็นไข่ดาว
ไข่แดงคือตัวเมือง ไข่ขาวคือชนบท
ทฤษฎี ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ชี้ว่า ชาวชนบทมักเลือกผู้สมัครจากปัจจัยที่เป็นรูปธรรม มีความเกี่ยวโยงกับระบบอุปถัมภ์ท้องถิ่น
ขณะที่ชนชั้นกลางในเมือง (โดยเฉพาะกรุงเทพฯ) คำนึงถึงนโยบายและหลักการทางอุดมการณ์มากกว่า
ผลการเลือกตั้งปีที่แล้วสะท้อนอย่างชัดเจนว่าไข่แดงแตกแล้ว
หากดูภาพรวมของผลการเลือกตั้งในแต่ละภูมิภาค สิ่งที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งคือ พรรคก้าวไกลได้คะแนนบัญชีรายชื่อเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ในทุกเขตเลือกตั้งในประเทศ และได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากที่สุดในทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสาน
จากการลงพื้นที่เพื่อไปสังเกตการหาเสียง และสัมภาษณ์นักการเมืองท้องถิ่น ได้ยินผู้สมัครอธิบายว่าเขตเลือกตั้งของตนว่าเป็นคล้ายกับไข่ดาว มีไข่แดงเป็นเขตเมือง ไข่ขาวเป็นเขตชนบท
การจะหาเสียงในแต่ละส่วนต้องใช้วิธีที่ต่างกัน
ในเขตเมืองหาเสียงคล้ายกับในกรุงเทพฯ ในเขตชนบทก็เน้นการใช้เครือข่ายท้องถิ่น
ที่แตกต่างไปจากเดิมคือไข่แดงในที่นี้กลายเป็นเขตเมืองทั้งหมด ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ
ดร.ณพลบอกว่าทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” ควรจะแยกเป็นสองส่วน
ส่วนแรก คือข้อสังเกตเกี่ยวกับความแตกต่างในพฤติกรรมทางการเมืองและการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยระหว่างคนเมืองกับคนชนบท
ส่วนที่สอง คือข้อเสนอที่ว่าความแตกต่างนี้เป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การไม่ลงหลักปักฐานของประชาธิปไตย และการหวนคืนสู่อำนาจของระบอบทหารและระบอบเผด็จการ
งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งไปที่ส่วนแรก นั่นคือพฤติกรรมทางการเมืองของคนเมืองกับชนบท
แรงจูงใจที่ทำงานวิจัยชิ้นนี้มาจากการมีโอกาสพบปะผู้สมัคร ส.ส.ในหลายจังหวัดในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
และมีโอกาสได้สนทนากับผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งหรือที่เรียกว่า “หัวคะแนน”
รวมถึงได้ติดตามการลงพื้นที่และการปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.
ที่สัมผัสได้คือผู้สมัครและทีมงานมักจะจำแนกแยกแยะฐานเสียงของตนเองด้วยการขีดเส้นระหว่างบริเวณที่มีความเป็นเมืองกับบริเวณที่มีความเป็นชนบทในเขตเลือกตั้งของตน
พบว่าผู้สมัครและหัวคะแนนมักจะเปรียบเทียบเขตเลือกตั้งของตัวเองเหมือน “ไข่ดาว”
เป็นคำที่ผู้สมัครและทีมงานหาเสียงใช้เรียกเอง
เป็นเหมือนกันตั้งแต่ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐถึงพรรคก้าวไกล
“เราไม่ได้คิดคำนี้ขึ้นมาเอง เราได้จากผู้สมัครเอง” ดร.ณพลบอก
ไข่แดงหมายถึงบริเวณที่มีความเป็นเมืองค่อนข้างสูงเช่นเขตเทศบาลหรือพื้นที่ที่มีมหาวิทยาลัย เป็นต้น
“ไข่แดง” มักจะถูกล้อมรอบด้วย “ไข่ขาว” ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีความเป็นชนบทซึ่งประกอบด้วยตำบลเล็กตำบลน้อย
หรือที่เรียกว่า “รอบนอก”
พบอีกว่าผู้สมัครมักใช้ยุทธศาสตร์การหาเสียงที่ไม่เหมือนกันระหว่าง “ไข่แดง” กับ “ไข่ขาว”
ในโซน “ไข่แดง” หนึ่งในผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลมองว่าจะ “ขายตัวพรรค” อย่างเดียวสำหรับคนในเมือง
โดยเน้นการพูดถึงการปฏิรูปกองทัพและหลักใหญ่ๆ ในภาพรวมเป็นหลัก
ในขณะที่ในโชนไข่ขาวรอบนอก การหาเสียงเน้นเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นต้น
นั่นแปลว่าแม้แต่สำหรับผู้สมัครพรรคก้าวไกลเองก็มีการแยกยุทธศาสตร์ไข่แดงและไข่ดาวในเขตเลือกตั้งของตัวเอง
แต่ผู้สมัครพรรคอื่นจะแบ่งแยกสองโซนนี้ชัดเจนกว่า
“ในเมืองจะพูดเรื่องนโยบาย ส่วนนอกเมืองจะเน้นเครือข่ายหัวคะแนน”
จากการลงพื้นที่ พอจะสรุปได้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ “ไข่ดาว” ในความหมายที่ว่าไข่แดงคือกรุงเทพฯ และไข่ขาวคือต่างจังหวัดอีกต่อไป
“แต่ไข่ดาวพบเห็นได้แทบทุกจังหวัด หรือแม้ในเขตเลือกตั้งเดียวกัน…”
นั่นคือบัดนี้มี “ไข่ดาวหลายฟอง” หรือเรียกว่า “ไข่ดาวกระจาย”
นักวิจัยทั้งสามคนตั้งข้อสังเกตว่าพลวัต (dynamics) แบบนี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากภาพจำที่เกิดจากทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย”
เน้นว่าเป็น “ภาพจำ” มิใช่สาระหลักที่ ดร.เอนกเขียนในหนังสือเล่มนั้นแต่เพียงอย่างเดียว
หลายคนตีความว่า “เมือง” คือ “กรุงเทพฯ” เท่านั้น
และ “ชนบท” คือ “ต่างจังหวัด”
หรือข้อสรุปที่ว่าคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล
งานวิจัยนี้มุ่งจะทดสอบว่า “ทฤษฎีสองนคราฯ…” นี้ที่ตีความอย่างนี้ยังใช้ได้กับบริบทการเมืองไทยวันนี้หรือไม่
และหากใช้ไม่ได้หรือมีการปรับเปลี่ยนไปแล้ว งานวิจัยนี้ก็จะได้นำเสนอว่าควรจะแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างไร
“ก็ต้องให้ความยุติธรรมกับงานเขียนเรื่องนี้ของอาจารย์เอนกเพราะท่านเขียนเพื่ออธิบายการเมืองไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว…”
ตัวแปรสำคัญคือพื้นที่ชนบทมีความเป็นเมืองมากขึ้นตลอดเวลา
อีกตัวแปรหนึ่งคือคนในชนบทจำนวนไม่น้อยมีชีวิตที่เชื่อมโยงกับความเป็นเมืองสูงขึ้น ไม่ว่าโดยหน้าที่การงานหรือที่พักอาศัย
และตัวแปรที่สามคือสังคมออนไลน์ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างชนบทกับเมืองมีความคลุมเครือมากขึ้น
อย่างน้อยที่สุดก็ในแง่ของการรับรู้ข่าวสาร
จึงทำให้เกิดความพยายามที่จะวิเคราะห์ทฤษฎี “สองนคราฯ” จากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
โดยวิเคราะห์จากผลการเลือกตั้งจากแต่ละพื้นที่ เริ่มจากภาพใหญ่ที่สุดก่อนคือเปรียบเทียบกรุงเทพฯ กับภูมิภาคอื่นๆ
เกิดข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าถ้าทฤษฎีสองนคราฯ ยังมีความหมายหรือความศักดิ์สิทธิ์อยู่ อย่างน้อยก็ต้องเห็นความแตกต่างในการตัดสินใจของผู้เลือกตั้งในการเลือกพรรคการเมือง
หรือ “พรรคในดวงใจ” ระหว่างคนกรุงเทพฯ กับคนต่างจังหวัด
ปรากฏว่าผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมีความแตกต่างไม่มากนัก
พรรคก้าวไกลมาเป็นที่หนึ่งในกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาคยกเว้นภาคอีสาน
และพรรคก้าวไกลเป็นที่หนึ่งหรือที่สองใน 400 เขตเลือกตั้ง
“ตอนแรกผมนึกว่าผมวิเคราะห์ผิด เพราะไม่นึกว่าพรรคก้าวไกลจะมาที่หนึ่งหรือที่สองใน 400 เขตเลือกตั้งในบัญชีรายชื่อ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
ส่วนผลการเลือกตั้งแบ่งเขตมีความแตกต่างมากขึ้นระหว่างตัวเมืองกับชนบท
แต่พรรคก้าวไกลก็สามารถเอาชนะในเขตที่หลุดจากคำนิยามของความเป็นเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น จังหวัดตาก, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, นครปฐม, สุราษฎร์ธานี, บุรีรัมย์
ในจังหวัดเหล่านี้ แม้ว่ากลุ่มการเมืองเก่ายังชนะการเลือกตั้ง ส.ส.เขตอยู่ก็ตาม
แต่กลับแพ้ให้ก้าวไกลในระบบบัญชีรายชื่ออย่างสิ้นเชิง
“จึงเกิดเป็นคำถามว่าความเป็นเมืองกับชนบทยังเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่”
(สัปดาห์หน้า : เจ้าของทฤษฎีกับความจริงที่เปลี่ยนไปวันนี้)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022