จะไปเยี่ยมทักษิณ | เรื่องสั้น : อรุณธารา

เรื่องสั้น | อรุณธารา

จะไปเยี่ยมทักษิณ

 

อากาศเย็นลง ภูเขาเบื้องหน้าที่ตกอยู่ในแสงอัสดงนั้น ต้นไม้เริ่มทิ้งใบตัวกันแล้ว ยามนี้มันจึงแลดูเป็นแหว่งๆ ประหนึ่งมีบาดแผลฉะนั้น บนถนนกลางหมู่บ้าน รถเครื่องสีส้มบุโรทั่งพอๆ กับแม่เฒ่าผู้ขี่มัน และตะกร้าหน้ารถมีน้ำมันน้ำปลาและอื่นๆ อัดมาแน่น ท่อไอเสียพ่นเสียงออกมาปึดๆๆ และตรงปลายท่อมีควันขาวพวยพุ่งออกมาอย่างกับใครเอาไฟไปสุมไว้ตรงนั้นและสีของควันคล้ายๆ กับสีผมของแม่เฒ่า ก่อนยายพรจะเข้าบ้านก็แวะที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นคนต่างจังหวัด เพิ่งจะมาซื้อบ้านอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้หกเจ็ดปีเอง ทันทีที่จอดรถ หมาสามตัวก็ปรี่เข้าไปเห่าหน้าประตูรั้ว เจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายวัยห้าสิบกลางๆ เดินออกมาจากตัวบ้าน ร้องเอ็ดสุนัขของตนด้วยความเคยชิน อันที่จริงหมาพวกนี้รู้จักยายพรดีอยู่ แต่มันก็อดที่จะปากเปราะเห่าแกทุกครั้งที่แกแวะมาไม่ได้

“น้าพงษ์ น้าเก๋ไปไหน” แกร้องถาม แม้อายุขัยห่างกันมาก คือแกอาวุโสกว่าสองคนนี้ ทว่า แกก็เรียกพวกเขาว่าน้าเสมอ น้าพงษ์บอกหญิงชราไปว่าภรรยาของเขาอยู่ในห้องครัว แต่ยังไม่สิ้นคำนั้นหญิงผู้เป็นภรรยาก็ออกมายังประตูรั้ว

“ยายไปไหนมา” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยถาม เพราะยังไม่เห็นของในตะกร้ารถเครื่อง

“ไปเอาครัวมา” แกตอบ พลางมองไปที่ยังตะกร้ารถ ชายหญิงคู่นี้มองตามสายตาของคนแก่ แล้วน้าเก๋จึงเปรยขึ้น “ได้ของมาเยอะเลยนะคะ” ยายพรยิ้มอย่างยินดี ของพวกนี้แม้ไม่มากมายสักเท่าใดนัก แต่ก็ต่อลมหายใจให้กับแกอย่างสบายๆ ในแต่ละเดือน “เออ น้าเก๋ ไปกรุงเทพฯ กันมั้ย” อยู่ๆ หญิงชราชวนไปเมืองหลวงเสียอย่างนั้น ยังความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายยิ่งนัก คนเป็นสามีของเธอก็แปลกใจไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากร้อยวันพันปีหญิงชราผู้นี้ออกจากบ้านไปไกลที่สุดก็แค่ตลาดในอำเภอ น้าพงษ์ชิงถามก่อนว่า แม่เฒ่าจะไปกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลอะไร แม่เฒ่านั่งอยู่บนรถเครื่อง ซึ่งดับเครื่องยนต์แล้ว และยามนี้สุนัขก็ไม่เห่าแกแล้วด้วย

“ยายจะไปเยี่ยมทักษิณ ไปด้วยกันก่อ”

“ยายจะไปยังไงเจ้า” หญิงวัยห้าสิบถาม

“มีคนจะพาไป เห็นว่ากำลังรวบรวมคนกันอยู่” ยายพรอธิบาย ส่งสายตาไปทิศทางของกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ไม่ได้ตรงอะไรหรอก เพราะแกมองไปทางทิศตะวันตะวันตก ซึ่งขณะนี้พระอาทิตย์กำลังลดตัวลงจะลับหายไปจากทิวไม้ อดีตนายกฯ ทักษิณเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายวันแล้ว ปรารภว่าอยากกลับมาเลี้ยงหลาน จึงยอมมาติดคุก แทนการร่อนเร่พเนจรอยู่เมืองนอกซึ่งเป็นเวลาหลายปีแล้ว

 

หญิงชราจอดรถไว้ข้างบ้าน บ้านหลังนี้มีสภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ปลวกพากันกินคานไปหลายชิ้นแล้ว ส่งผลให้หลังคาบางส่วนเอียงกระเท่เร่ แต่ด้วยว่ามันยังขัดกับไม้คานชิ้นอื่นอยู่ ดังนั้น ส่วนนี้จึงไม่ทรุดโครมลงมา แกไม่มีปัญญาจะซ่อมเองหรอก ก็ได้แต่ไหว้วานให้น้องชาย ซึ่งอยู่อีกบ้านมาดูแล แต่เขาไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าใดนัก ทำแต่ละครั้งทำแต่เรื่อง ก็ทำเป็นขอไปที เหมือนว่าจะรอให้พี่สาวตายจากไปก็จะรื้อมันทิ้งเสียอย่างนั้น

ยายพรคว้าข้าวของในตะกร้ารถ ยิ้มกับพวกมันประหนึ่งว่าพวกมันรู้ความ และวินาทีถัดมาแกนึกถึงชายคนหนึ่ง ชายผู้อดีตเป็นทหารและเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ได้ประยุทธ์ก็แย่แน่ หญิงชราตรึก ในแต่ละเดือนแกดำรงชีพด้วยเงินสวัสดิการของรัฐ ไม่ว่าบัตรคนจน หรือเบี้ยผู้สูงอายุบางส่วน และอีกส่วนหนึ่งมาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แต่ถ้าไม่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐ แกก็คงจะลำบากน่าดู แบบว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง พวกญาติพี่น้องไม่ได้สนใจดูแลหรอก ที่ดินแปลงนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ราวสามงานก็เป็นของหลานสาว เดิมทีธรณีแปลงนี้เป็นของแก แต่ครั้งโน้นยายติดหนี้ธนาคารแห่งหนึ่งหลายตังค์ และไม่มีปัญญาจะจ่ายคืน หลานสาวคนนี้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยล้างหนี้ให้สิ้นซาก แถมเงินให้เงินแกอีกนิดหน่อย โดยแลกกับการเปลี่ยนชื่อหล่อนเป็นเจ้าของแทน

แรกๆ หญิงชราก็รู้สึกเสียดมเสียดายที่ดินอันเก่าแก่ อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบซื้อมัน พลันหลุดมือไป แต่เมื่อผ่านไปหลายๆ ปี จนกระทั่งบัดนี้อายุจะเหยียบเจ็ดสิบแล้ว แกก็ไม่หวงอะไรทั้งสิ้นแล้ว ปลงกับชีวิตแล้วก็ว่าได้ อาศัยแผ่นดินแปลงนี้ที่หลานสาวอนุเคราะห์ให้อยู่ไปจนวันตายดับ ซึ่งแกแน่ใจว่าอีกไม่นานแล้วล่ะ

ความรู้สึกปลาบปลื้มนายกฯ ประยุทธ์อยู่ได้ไม่นาน ความรู้สึกหนึ่งแล่นเข้ามาทดแทน นั่นคือรู้สึกผิดกลายๆ ที่สมัยหนึ่งแกไม่ได้กาเบอร์ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเสนอพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่แกก็จำไม่ได้แล้วว่าในครั้งนั้นเลือกใครระหว่างผู้สมัครพรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่

แต่ครั้งล่าสุดยายแกเทใจกับกับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย

ถึงแกจะกาให้คนนั้นคนนี้ชนิดไม่ค่อยซ้ำกันในแต่ละหน แต่สำหรับอดีตนายกฯ ทักษิณนั้นแกยกไว้เป็นเบอร์หนึ่ง ยกไว้บนหิ้ง ทักษิณเป็นนักการเมืองในดวงใจและเป็นมาตลอด เพราะว่าทักษิณเป็นคนเก่งกาจสามารถ ทักษิณห่วงใยประชาชนชาวรากหญ้าอย่างแกอย่างจริงใจ แกยังเชื่ออีกว่าหากอดีตนายกฯ ทักษิณได้บริหารประเทศตลอดรอดฝั่ง ประชาชนในประเทศนี้จะลืมตาอ้าปากได้อย่างเทียมหน้าเทียมตากัน

นอกจากความดีของเขาแล้ว สิ่งที่แกไม่เลือนลืมเลย คือแกกับอดีตนายกฯ เป็นคนบ้านเดียวกัน คือเป็นคนอำเภอสันกำแพง และด้วยพฤติกรรมของยายพรเป็นแบบนี้ก็มักมีคนกระเซ้าแกว่า รักทักษิณแล้วทำไมจึงไปเอาของแจกจากประยุทธ์เล่า

หญิงชราพูดทีเล่นทีจริงด้วยประโยคหนึ่ง และจากจุดตรงนี้เอง หลังจากนั้นมันจึงกลายเป็นคำพูดติดปากของแกมาตลอด “มันก็ดีทั้งนั้นแหละนักการเมือง ถ้าไม่ดีเขาจะอาสามาช่วยเหลือเราเหรอ”

ยายพรหิ้วของเดินไปยังห้องครัว ซึ่งปลูกแยกออกจากตัวบ้าน สุนัขสี่ตัวของแกเดินตามต้อยๆ พลางเอาจมูกดมถุงหิ้วถุงหนึ่ง นึกว่าเป็นอาหารของมัน ยายเอ็ดสุนัข “ของพวกแกอยู่ในหม้อโน้น” แกต้มข้าวไว้ให้สุนัขแล้ว ใส่เนื้อไก่นิดหน่อย เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า

ซึ่งสุนัขของแกก็ไม่เรื่องมาก ให้กินอะไร กินอย่างไรพวกมันก็ยอมตามนั้น

 

“มันไม่เหมือนกันหรอกยาย บางคนดีบางคนก็ชั่ว จะบอกว่าดีเหมือนกัน อันนี้เห็นทีจะไม่ถูกแล้วละ” น้าพงษ์แย้งแกในวันหนึ่ง “แต่ถ้ายายจะยืนกรานไปเยี่ยมทักษิณ อันนี้ก็เป็นสิทธิของยาย แต่ผมไม่ไปหรอก”

“แล้วน้าเก๋ล่ะ ไปกับยายมั้ย งานนี้ไปฟรีนะ” ยายพรหันมองฝ่ายหญิง ซึ่งยืนอยู่ข้างสามี พวกเขายืนคุยผ่านประตูรั้วตาข่ายเสมอ โดยมีสุนัขสามตัวนั่งมองอยู่ พวกมันหลังถูกเอ็ด จึงเงียบเสียงลงไป

“ไม่ไปยาย หนูไม่สะดวก แล้วนี่จะไปเมื่อไร เห็นพูดมาหลายวันแล้ว”

หญิงชราแจกแจงว่า แกก็ยังคอยฟังข่าวอยู่ หากมีการรวบคนได้ครบจำนวนแล้วก็จะได้มีการเดินทาง “น้าพงษ์กับน้าเก๋ไม่ไปแน่นะ ฟรีนะงานนี้” แกย้ำคำว่าฟรีอีก หนุ่มใหญ่ยิ้ม แล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ จากนั้นก็หลุดปากออกมาว่า “แถมตังค์ด้วยก็ไม่ไป” เขากับภรรยาเป็นพันธมิตรหรือเสื้อเหลือง เมื่อครั้งต่อต้านนายกฯ ทักษิณ ซึ่งนำขบวนโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพอมายุคสมัยของยิ่งลักษณ์ พวกเขาก็เป็นม็อบ กปปส. ซึ่งนำโดยกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ “เอ็นดูเปิ้น พลัดพรากจากเมืองไทยไปอยู่เมืองนอกเสียนาน แกงอ่อม น้ำพริกหนุ่ม แคบหมูของลำๆ แบบนี้จะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”

หนุ่มใหญ่แย้งหญิงชรา “โอย ยายไม่ต้องห่วงเขาหรอก ถ้าเขาไม่ทำกินเองเขาก็สั่งจากเมืองไทยไป ร่ำรวยซะขนาดนั้น อดเป็นเรื่องแปลกแล้วล่ะ” แล้วหนุ่มใหญ่ก็แย้งอีกว่า เหตุที่ต้องออกไปอยู่เมืองนอกเมืองนานั้นก็ไม่ใช่ใครได้ผลักไสไล่ส่งเขา อดีตนายกฯ ตัดสินใจด้วยตนเองที่เลือกเส้นทางนั้น คือหลบหนีคดี ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งน้องสาวของเขาก็เลือกเดินตามรอยพี่ชาย

“เขาว่ามีคนแกล้งเปิ้นนี่นา น้าพงษ์” ยายพรพูดเสียงอ่อยๆ หนุ่มใหญ่เลือกไม่ต่อปากคำกับหญิงชราในประเด็นนี้ เพราะหากจะกล่าวถึงกันก็ต้องพูดยาว มิฉะนั้นมันจะไม่เคลียร์

“ถึงยังไงคนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่สุขสบายหรอก” ยายพรแสดงความคิดเห็น แกเองก็เคยไปจากบ้านเกิดหลายปี ตอนนั้นตัดสินใจแต่งงานกับหนุ่มกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปอยู่กับสามีที่เมืองหลวงเจ็ดปี ซึ่งเป็นเจ็ดปีที่แสนทรมาน ถึงสามีรักและดูแลอย่างดีก็ตาม แต่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เชียงใหม่ บางเขนไม่ใช่สันกำแพง ซึ่งแกคุ้นเคยมาช้านาน ดีเอ็นเอของแกคือเชียงใหม่ เลือดเนื้อจิตวิญญาณของแกคือสันกำแพง ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนสถานที่อยู่ที่กินที่อาศัยแกก็ไม่คุ้นชินสักที จวบกระทั่งแกตัดสินใจว่าแกจะต้องกลับมาเชียงใหม่ในปีที่เก้าของการแต่งงาน โดยจะขออนุญาตสามี

แต่แล้วแกก็ไม่ต้องขออนุญาต เพราะสามีถึงแก่ความตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียก่อน

 

อากาศข้างนอกบ้านหนาวพอๆ กับภายในบ้าน เพราะบ้านนั้นผุพังลงไปมาก กันกั้นลมหนาวได้ไม่เต็มที่ แกขบคิดอยู่เสมอว่าเคหะสถานนี้กับร่างกายแกนี้อันไหนจะแตกดับไปก่อน หากสังขารแกแตกดับยับย่อยลงไปก่อนก็จะดีไม่น้อย เพราะไม่ต้องเดือดร้อนวานใครให้มาซ่อมแซมบ้านให้ พี่น้องไม่ได้ดีกับแกสักเท่าใด โดยเฉพาะน้องชายนั้นก็ทำไปพอมิให้ชาวบ้านนินทว่าไม่ดูดำดูดีพี่น้อง ส่วนสุนัขสี่ตัวของแก แกก็ฝากฝังกับหลายๆ คนไว้แล้ว เอาไปคนละตัวก็สิ้นเรื่องสิ้นราว โดยเฉพาะสองน้าคือน้าพงษ์กับน้าเก๋รับปากว่าจะเอามาเลี้ยงแทนหนึ่งตัว

ยายพรนั่งอยู่บนแค่ไม้ไผ่ นุ่งกางเกงขายาว และสวมเสื้อสองตัว คือเสื้อยืดหนึ่งตัวกับเสื้อหนาวอีกหนึ่งตัว ส่วนบนศีรษะนั้นมีหมวกไหมพรมครอบอยู่ เบื้องหน้าของแกคือโทรทัศน์ยี่สิบเอ็ดนิ้วจอแบน แต่หลายจุดก็เป็นเส้นๆ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรอีก มันรับสัญญาณได้เพียงแค่ช่องเดียวคือช่องมากสี และในตอนนี้ก็กำลังเสนอข่าวอดีตนายกฯ ทักษิณอยู่

ข่าวว่าอาการของนักโทษชายคนนี้หนักพอสมควร หมอต้องระดมมันสมองกันใหญ่ เพื่อจะดูแลรักษา อาการป่วยของคนที่แกรักอยู่ในขั้นรุนแรงอย่างนั้น ทำให้แกนึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างมาก ดูสิขนาดแกวิงเวียนศีรษะ เพราะความดันสูงในแต่ละคราว แกยังต้องนอนซมเกือบทั้งวัน นี่อาการของอดีตนายกฯ หนักหนาแบบนั้น เขาจะไม่ทรมานเชียวหรือ

หญิงเฒ่าคิดถึงคนที่มาชักชวนไปกรุงเทพมหานคร ผ่านมาหลายวันแล้ว แผนการนั้นจะยังเป็นไปได้อยู่หรือไม่ แกรอและรอ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ถามเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งสนิทกัน เขาก็ให้คำตอบไม่ได้ เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงรวบรวมคนไปเมืองหลวง แต่ช่วงนี้เจ้าหนุ่มคนนั้นไปไหนเสียหนอ เห็นว่าไม่อยู่บ้าน เจ้าคนนี้ยุ่งๆ ตลอดศกแหละ เดี๋ยวเคลื่อนไหวเรื่องนั้น เดี๋ยวก็เคลื่อนไหวเรื่องนี้ ตามประสาคนที่มีอุดมการณ์คนหนึ่ง

คืนนั้นยายพรฝันร้าย ฝันว่าอดีตนายกฯ เสียชีวิตแล้ว เพราะการป่วยไข้ แกร้องไห้ใหญ่เลย ก่อนจะสะดุ้งตื่นตอนใกล้สว่าง มาพบกับความหนาวเย็นของอากาศ แกชักผ้านวมขึ้นห่มจรดคาง ค่อยยังชั่ว หนาวกายน่ะพอทนได้ แต่หนาวใจนี่สิ จะว่าอย่างไร จิตแกคิดถึงคนที่อยู่ที่โรงพยาบาล จนไม่อาจข่มตาหลับได้ต่อไป จำต้องลุกจากที่นอน แล้วมาชุนฟืนใส่ในกองไฟที่ใกล้มอดดับเกือบหมดแล้วให้โชนไฟอีกครั้ง ซึ่งไฟกองนี้แกก่อไว้ให้สุนัขสี่ตัวของแกเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา

ตอนสายๆ คนแก่เดินมาหาสองน้า เพราะสองสามวันมานี่แกเก็บผักริมอ่างน้ำประจำตำบลได้น้อย ขายไม่พอกินสักเท่าใด ปากท้องของแกแกสั่งได้ว่ากินหรือไม่กิน แต่ปากท้องของสุนัขแกสั่งไม่ได้ สัตว์มันหิวมันก็ต้องดิ้นรนกิน ไม่รู้ความอย่างมนุษย์หรอก ว่าต้องอดมื้อกินมื้อ ว่าต้องเขียมๆ ขนาดไหนให้เป็นไปตามฐานะตน

“น้าเก๋ขออาหารหมาหน่อย” จากนั้นก็อธิบายเหตุผลของการไม่มีเงิน ซึ่งหญิงสาวรู้อยู่แล้ว หล่อนจึงฟังแบบผ่านๆ แต่ก็เต็มใจให้การช่วยเหลือ เพราะเจือจานแกมาตลอด สำหรับยายพรนั้นก็หาใช่จะเป็นฝ่ายรับแต่ฝ่ายเดียวไม่ ได้ผักมาหรือได้เห็ดในฤดูฝนมา แกก็แบ่งปันให้ แกแบ่งให้น้าเก๋ก่อนที่จะเอาไปขายเสียอีก น้าพงษ์เดินออกมาจากบ้าน เขาก็ทราบข่าวคราวการเจ็บป่วยของอดีตนายกฯเหมือนกัน เมื่อเห็นหน้าคนแก่ จึงเอ่ยปากถามว่า เมื่อไหร่ยายพรจึงจะไปเยี่ยมทักษิณ

ยายไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับบ่นด้วยน้ำเสียงละห้อยว่า “ดูสิ ได้กลับมาบ้านทั้งที ยังไม่สบายอีก ต้องมานอนโรงมดโรงหมออย่างนั้น น่าสงสารจริงๆ”

แล้วหญิงแก่ก็พูดสืบต่ออย่างมีความหวัง “ถ้ายายไปกรุงเทพฯ ต้องฝากหมากับน้าพงษ์ด้วยแหละ ไปก็คงไปหลายวันแหละ แต่ทั้งหมดก็แล้วแต่เขาจะกำหนด”

กรุงเทพฯ คำนี้สะกิดใจแกมากๆ นึกถึงครั้งล่าสุดที่ไปก็นานเต็มทีแล้ว แต่ทว่าความทรงจำนั้นยังชัดเจน ประหนึ่งว่าเพิ่งได้ไปพบไปเจอเมื่อวานนี้เอง รถบัสเจ็ดคันเคลื่อนออกจากเชียงใหม่ คนมหาศาลในขบวนนี้ และได้รับการบอกกล่าวอีกว่า เมื่อไปสมทบกับคนที่โน่นแล้วก็จะมากมายเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน ซึ่งมันก็จริงตามนั้น เพราะเมื่อไปถึงสนามกีฬาหัวหมาก คนไม่รู้มาจากที่ไหนต่อที่ไหน พรึบเต็มพื้นที่ไปหมด ยังกะสนามกีฬาแห่งนี้ถูกทาหรือชโลมไปด้วยสีแดงซะอย่างนั้น น่าตื่นเต้น น่าตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกิน ทำอะไรแทบไม่ถูกเลยล่ะ อย่างนี้คนที่ต่อต้านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ต้องหวาดหวั่นบ้างสินะ

อันที่จริงจะเรียกเต็มปากว่าเป็นคนเสื้อแดงก็หาได้ไม่ แต่ที่แกยอมมากรุงเทพมหานครด้วย ทั้งที่สังขารของแกไม่เต็มร้อยเลย ก็เพราะทักษิณนั่นเอง แกรักทักษิณสุดขั้วหัวใจ คนคนนี้เป็นคนบ้านเดียวกับแก คือสันกำแพง แม้ไม่ได้เห็นเขาแต่อ้อนแต่ออกก็ตาม แต่แกก็ชอบผลงานของทักษิณคราวเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วนี่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นทายาทการเมืองซ้ำยังเป็นสายเลือดแท้ๆ ของคนที่แกรัก

แบบนี้แล้วจะให้แกนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือก็ไม่ใช่คน (สันกำแพง) แล้วล่ะ

 

คํ่าคืนนี้อยากจะเปลี่ยนช่องเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ จะโทษใครก็ไม่ได้ด้วย ก็เจ้าทีวีเครื่องนี้รับสัญญาณได้แค่ช่องเดียว การต่อต้านการนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลของอดีตนายกฯ อันเป็นที่รักเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้นๆ คนนั้นขู่ว่าจะบุกไปเยี่ยม คณะนี้กล่าวว่าจะบุกไปดูว่าอยู่ในสภาพใด สุขสบายหรือว่าอยู่ในความควบคุมเยี่ยงนักโทษ คณะนั้นขอตรวจสอบเรื่องกับโรงพยาบาลตำรวจ คณะนี้ต้องการให้กรมราชทัณฑ์ชี้แจงถึงการได้อภิสิทธิชนของทักษิณ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างพุ่งเป้ามาหายายพรทั้งสิ้น อดีตนายกฯ ถูกกดดันอย่างนั้นทำให้ยายพรทุกข์ใจไม่น้อย แล้วคืนนั้นยายพรก็กระสับกระส่ายจนกระทั่งฝันเลอะเทอะไปหมด แต่ในความเลอะเทอะนั้นเป็นการฝันถึงอดีตฯ นายกทักษิณทั้งสิ้น

หญิงเฒ่าตื่นด้วยความไม่กระปี้กระเปร่า ดีว่าช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้น ซึ่งหากยังหนาวเหน็บเจ็บกายาอยู่เหมือนช่วงก่อนๆ แกแน่ใจได้เลยว่า แกต้องป่วยไข้เป็นแน่แท้ ถึงจะป่วยไข้แกก็ไม่ได้พะวงอะไร เพราะกรุงเทพฯ ที่จะไปก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว

มื้อเที่ยงจะทอดปลาเค็ม แต่น้ำมันพืชดันมาหมด แกเดินไปที่ร้านค้าซื้อน้ำมันพืชขวดน้อยๆ จากนั้นเดินมาหาชายหญิงที่แกถูกอัธยาศัย เพื่อจะมาขอน้ำตาลทรายสักนิด เอาไปใส่กาแฟ

“ไปไหนมา” หนุ่มใหญ่ถามผ่านประตูรั้ว หญิงชรายกน้ำมันพืชให้ดู “ไปซื้อน้ำมันพืชมา”

น้าพงษ์เคยเห็นน้ำมันพืชมาหลากหลายยี่ห้อ ทั้งยี่ห้อดังๆ และยี่ห้อไม่ดัง แต่ยี่ห้อที่แม่เฒ่าคนนี้ถืออยู่นี้ คือตะวันเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนน้าเก๋พอรู้ว่าคนเฒ่าต้องการอะไร ก็รีบเข้าครัวไปตักน้ำตาลทรายมาให้

“แล้วเมื่อไหร่ไปกรุงเทพฯ”

เมื่อถูกถามจากหนุ่มใหญ่ แกตอบว่า “น้าพงษ์เอ้ย ไม่มีโอกาสให้ได้ไปเยี่ยม มันไม่สะดวกแล้วล่ะ คนต่อต้านเยอะมาก ไปแล้วภาพที่ออกมาจะไม่สวย ถึงจะไปให้กำลังใจก็ตาม ตัดปัญหาคือยุติการไปกรุงเทพฯ เสีย เฮ้อ” แกถอนใจหนัก แล้วพูดต่อ “การเมืองมันรุนแรง คนไม่ชอบเปิ้นเยอะขนาด ว่าเปิ้นไม่ยอมติดคุกบ้าง ว่าเปิ้นเอาเปรียบนักโทษรายอื่นบ้าง ว่าเปิ้นเป็นนักโทษเทวดาบ้าง โอ้ย ยายจำไม่หวาดไม่ไหว สารพัดคำเปรียบเปรย แต่น้าพงษ์ก็รู้นี่ คนนอนโรงพยาบาลมันจะสบายกายได้จะใด คนมันป่วยไข้มันจะสบายใจได้จะใด”

การงดเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปเยี่ยมอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น แกเพิ่งจากได้รับการแจ้งข่าวมาเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งแกรู้สึกเสียดมเสียดายยิ่งนัก ไม่ได้เสียดายหรือเสียใจที่ไม่ได้ไปแอ่วเมืองกรุงหรอกนะ แต่เสียอกเสียใจที่ไม่ได้ไปเยี่ยมไข้คนที่แกรักนักรักหนาต่างหาก

ก่อนหญิงชราจะเดินจากไป น้าพงษ์หูไม่ฝาดแน่ที่ได้ยินเสียงของยายพรบ่นกระปอดกระแปด “ก็คนมันป่วย ไม่ให้อยู่โรงบาลแล้วจะให้ไปอยู่ไหน นี่ถ้ายายมีกะตังค์กับเขาสักหน่อยนะ ยายจะนั่งเครื่องบินไปเยี่ยมท่านนายกฯ เองเลย”

น้าพงษ์ยังมองยายพรอย่างไม่วางตา แผ่นหลังของแกไหวๆ ไปในเปลวแดด ส่วนมือนั้นกำน้ำมันพืชยี่ห้อตะวันแน่นเชียว •