พระอาทิตย์ตกดิน | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

พระอาทิตย์ตกดิน

ไม่ทราบว่ามีใครเคยรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า ความรู้สึกที่ว่านี้คือพออายุมากขึ้น ทำไมวันเวลามันผ่านไปรวดเร็วนักหนา ประเดี๋ยวก็วัน ประเดี๋ยวก็เดือน วันเริ่มต้นปีใหม่คือวันที่ 1 มกราคมเพิ่งผ่านไปหยกๆ เผลอไปแป๊บเดียว เดือนกุมภาพันธ์ก็โผล่หน้ามาทักทายเสียแล้ว และเผลอแบบนี้อีกสิบเอ็ดหน วันปีใหม่ก็มาถึงอีกครั้งแล้ว

ในขณะที่นึกเปรียบกับสมัยที่เราเป็นเด็ก วันเดือนปีช่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานั่งอยู่ในห้องเรียนที่มีครูยืนพร่ำพูดอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าชั้นเรียน กว่าจะหมดหนึ่งชั่วโมงได้แทบขาดใจ

อันที่จริงแล้วหนึ่งชั่วโมงตอนผมเป็นเด็กหรือหนึ่งชั่วโมงของผมตอนนี้ ต่างก็มีความยาว 60 นาทีถ้วนไม่ขาดไม่เกิน

ความรู้สึกว่านาฬิกาเดินช้าหรือเดินเร็วต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่เกิดจากจิตใจของเราเอง

และนึกให้ไกลไปจากนี้ก็จะเห็นอะไรได้อีกมากครับ ความคิดบางเรื่องในตอนเราเป็นเด็กเราก็เห็นว่าเราคิดได้รอบคอบ คิดได้รอบด้านแล้ว แต่พอมาถึงวัยกลางคน มนุษย์คนเดิมก็เปลี่ยนไปคิดอีกอย่างหนึ่ง

พออยู่ในวัยที่เป็นราษฎรอาวุโสอย่างผม ไม่แปลกเลยที่ผมจะคิดไม่เหมือนกับความคิดของตัวเองในตอนเป็นเด็กและตอนเป็นวัยกลางคน

ที่กล่าวมาอย่างนี้ ไม่ได้คิดจะบอกหรือวินิจฉัยว่า ผู้ใหญ่คิดได้ดีกว่าเด็กหรือเด็กคิดได้ดีกว่าผู้ใหญ่

ผมเพียงแต่จะบอกว่า แม้คนคนเดียวกัน ต่างวัยต่างวันเวลาก็อาจคิดต่างไปจากเดิมได้ ไม่มีอะไรผิดและไม่มีอะไรถูก

 

หลังเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์ ตามประเพณีปฏิบัติส่วนตัวที่ผมทำมาสิบกว่าปีแล้ว ผมมีนัดหมายกับลูกศิษย์ผู้ที่คุ้นเคยกันที่เป็นรุ่นน้องไปทำบุญในวัดต่างจังหวัดซึ่งอยู่ในรัศมีประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ โดยนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เวลาบ่ายหรือเวลาเย็น จบภารกิจเรื่องบำเพ็ญกุศลแล้ว เป็นการกินข้าวเย็นในที่พักแรมที่จับจองไว้ จากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยจนกว่าจะหมดแรง

ท่ามกลางหัวข้อสนทนาที่หลากหลายของปีนี้ มีการพูดถึง “ความตาย” ขึ้นมา และมีการตั้งคำถามถามผมซึ่งเป็นผู้ที่สูงวัยที่สุดในวงพูดคุยค่ำวันนั้น ว่าผมกลัวความตายหรือไม่ ถ้าจะต้องตายในเวลานี้ โดยที่ทุกคนในที่นั้นรู้ว่าเมื่อปลายปีพุทธศักราช 2566 ที่ผ่านมาคือเมื่อสามเดือนก่อน ผมป่วยเป็นไข้เลือดออกและอยู่ในฐานะเฉียดตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงน่าจะอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และพอจะตอบคำถามนี้ได้ดีพอสมควร

ก่อนจะตอบเป็นถ้อยคำหรือแสดงเหตุผลอะไรออกไป ผมบอกกับตัวเองในใจเป็นเบื้องต้นว่า ความตายนั้นเป็นของธรรมดา ตั้งแต่มีโลกใบนี้นี้เกิดขึ้นยังไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ไม่ตายเลย ตายหมดครบถ้วนครับ

คนที่เห็นอยู่รอบตัวเราวันหนึ่งก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น และไม่มีใครบอกล่วงหน้าได้ด้วยว่าจะตายเมื่อไหร่หรือตายอย่างไร

เมื่อบอกตัวเองอย่างนั้นแล้ว ผมก็บอกน้องผู้ตั้งคำถามว่า ใจผมเวลานี้ ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอะไรเลยถ้าตัวเองจะไม่ได้หายใจเข้าออกอีกต่อไป

เหตุผลของผมเป็นเหตุผลเฉพาะตัว เมื่อเล่าสู่กันฟังแล้วจะฟังขึ้นหรือไม่ก็สุดแท้แต่ความกรุณาและดุลพินิจของแต่ละท่านนะครับ

 

เรื่องแรกที่ผมเข้าใจว่าหลายคนยังไม่อยากตาย ก็ด้วยมีความห่วงกังวลในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงกังวลไปถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างหลังว่าเขาจะลำบากหรือมีอนาคตที่ยากเข็ญอย่างไรหากขาดเราไปเสียแล้ว

ท่านที่รู้จักผมดีย่อมทราบว่าผมเป็นผู้ที่ไม่มีครอบครัว ในความหมายว่าผมไม่ได้แต่งงาน มีลูกให้ต้องเลี้ยงดูห่วงใย คำว่า “ครอบครัว” ของผมทุกวันนี้หมายความถึงครอบครัวของน้องชายของผมที่มีอยู่คนเดียว รวมไปถึงน้องสะใภ้และหลานอีกสองคนซึ่งเป็นลูกของเขาทั้งสอง

ในความหมายนี้ผมไม่มีความห่วงกังวลใดๆ ครับ ผมเชื่อและมั่นใจว่า หากผมไม่อยู่แล้ว ชีวิตของคนสี่คนที่ผมกล่าวมาข้างต้นจะอยู่รอดปลอดภัย และมีทางเดินต่อไปในอนาคตได้ตามที่เขาปรารถนา

ดังนั้น ในแง่มุมนี้ ผมจึงเป็นคนที่ตัวเบาคือไม่มีอะไรพะรุงพะรัง ไม่ต้องห่วงกังวล

การงานตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ถ้าหากว่าวันหนึ่งขาดผมไป งานเหล่านั้นก็จะมีคนเข้ามารับหน้าที่ทำแทนไปจนได้

ผมไม่เคยนึกเลยว่า ผมเป็นคนที่ขาดไม่ได้สำหรับโลกใบนี้

 

ส่วนประเด็นที่สอง เป็นประเด็นเรื่องบุญกุศลหรือปาปกรรมตามความคิดความเชื่อของผมผู้เป็นพุทธศาสนิกชน ประมาณว่าถ้าทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าทำชั่วก็ไปลงนรก หรือต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติที่ต้องทนทุกข์ทรมานอะไรทำนองนั้น

ผมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ผุดผ่องขนาดว่าไม่เคยทำบาปอะไรมาก่อนเลยในชีวิต แต่เท่าที่ประเมินตัวเอง โดยออกแบบสอบถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ผมว่าชีวิตข้างฝ่ายที่เป็นมุมบวกของผมหักกลบลบหนี้แล้วชนะชีวิตข้างฝ่ายที่เป็นมุมลบนะครับ

ผมไม่ก่อกรรมทำเข็ญกับใคร (ถ้าไม่จำเป็น ฮา!) พยายามโกรธคนให้น้อยที่สุด ทำบุญทำกุศลตามศรัทธาและความเชื่ออยู่เสมอ ทำด้วยกำลังทรัพย์บ้าง กำลังศรัทธาบ้างและด้วยกำลังแรงงานสติปัญญาบ้าง เมื่อทบทวนดูอย่างนี้แล้วผมน่าจะเอาตัวรอดได้สำหรับชีวิตหลังความตาย

เรียกว่า ถ้าจะตกนรกก็น่าจะตกไม่นานล่ะครับ

แต่ถ้าจะให้ดี อย่าตกเลยจะดีกว่า แหะ แหะ

 

นอกจากการทำบุญทำกุศลในพระศาสนาแล้ว โอกาสในชีวิตที่ผ่านมาก็เอื้ออำนวยให้ผมได้ทำอะไรที่ตรงกับความคิดความเชื่อของตัวเอง ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก ได้สอนหนังสือหรือถ่ายทอดความคิดความเห็นให้กับคนจำนวนไม่น้อย เมื่อรับราชการก็ได้มีโอกาสฝากผลงานฝากฝีมือไว้ในภารกิจตามสมควร ได้เขียนหนังสือที่อยากเขียนหลายเล่ม ฯลฯ

ผมบอกกับตัวเองได้เต็มปากว่า ผมใช้ชีวิตนี้คุ้มครับ

เวลาที่ผ่านมาในอดีตจนถึงวันนี้ ผมได้ใช้สมประโยชน์ จนไม่มีอะไรรู้สึกว่าตัวเองขาดตกบกพร่องไป

วันเวลาจากวันนี้ไปข้างหน้าเป็นเรื่องกำไรสะสมแล้วล่ะครับ ตราบใดที่ยังมีแรงมีกำลังก็ทำไป อ่อนแรงอ่อนกำลังก็ผ่อนงานลง วันไหนไม่หายใจแล้วก็หยุดทำงาน

ถ้าจากควักหัวใจออกมาพูดกันตรงๆ อายุปูนนี้แล้วผมไม่กลัวตายครับ กลัวแต่เจ็บเท่านั้น ฮา!

ทั้งๆ ที่รู้นะครับว่าชีวิตของทุกคนหนีไม่พ้นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย

แต่ถ้าหากจะเจรจาต่อรองกับใครได้ ผมก็ไม่อยากเจ็บป่วยอยู่นานๆ หรือเป็นโรคร้ายแรงเรื้อรัง เพราะจะต้องทนเจ็บ ทนหงุดหงิดกับตัวเองอย่างน่ารำคาญเป็นที่สุด

ถ้านอนหลับไปตอนกลางคืนแล้วไม่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าได้ จะเป็นดีที่สุด

 

พูดไปอย่างนั้นแหละครับ ความจริงคือไม่มีใครมาต่อรองกับเรา และเราก็ไม่สามารถต่อรองกับใครได้ด้วย

ยิ่งการแพทย์สมัยปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้า และถ้ากรุณาไม่หมั่นไส้หรือหมั่นไส้ผมแต่เพียงเล็กน้อย ผมก็อยากบอกว่าผมอยู่ใกล้การรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพมาตลอดชีวิต พอถึงเวลาใกล้จะถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต กระบวนการรักษาพยาบาลทั้งหลายอาจจะไม่ปล่อยให้ผมจากโลกนี้ไปได้ง่ายๆ

ผมเห็นท่านผู้ใหญ่หลายท่านถูกเจาะตรงโน้นตรงนี้จนพรุนไปหมด หัวใจหยุดเต้นแล้วก็ปล้ำปลุกให้ลุกขึ้นมาเต้นต่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสายระโยงระยางเหมือนเรือใบสมัยก่อน

ชีวิตแบบนี้จะเรียกว่ามีบุญหรือมีกรรมผมก็ไม่แน่ใจนัก

แต่ในเมื่อวันนี้ผมยังมีชีวิตที่รู้สติสัมปชัญญะดีครบถ้วน วันสองวันนี้ผมตั้งใจว่าจะทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์เป็นลายลักษณ์อักษรว่า การรักษาพยาบาลผมเมื่อจะถึงตอนจบนั้น ควรดำเนินไปในแนวทางใด เมื่อถึงวันเวลานั้นจะได้ไม่มีปัญหา

เพื่อนของผมหลายคนทำหนังสืออย่างนี้แล้วสุขใจสบายใจมากครับ

 

“หลังลับแลมีอรุณรุ่ง” คราวนี้มาแปลกไหมครับ

ไปพูดถึงเรื่องพระอาทิตย์ตกดินเสียตั้งเยอะ

ความคิดที่จะมอบหมายให้หนุมานไปหยุดรถพระอาทิตย์ไว้ เพื่อพระอาทิตย์จะได้เดินช้าหรือหยุดเดิน มีก็แต่ในเรื่องรามเกียรติ์เท่านั้นครับ

ในชีวิตจริง พระอาทิตย์ขึ้นและตกทุกวัน ไม่เคยมีวันหยุดราชการเลย

จึงเรียนข้อมูลข้างต้นมาเพื่อโปรดพิจารณา และนำไปใช้ประโยชน์ตามสมควร จะเป็นพระคุณยิ่ง