ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 4 มกราคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
แบรดลีย์ คูเปอร์ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการกำกับฯ และแสดงนำร่วมกับเลดี้ กากา ในหนังยอดฮิตที่นำกลับมาทำซ้ำหลายรอบ เรื่อง A Star Is Born (2018)
เขาได้รับความชื่นชมถึงขั้นที่ได้รับการทาบทามจากสตีเวน สปีลเบิร์ก ให้รับหน้าที่ถือบังเหียนทั้งหลังฉากและหน้าฉากในโครงการภาพยนตร์ที่อยู่ในมือของ “พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวู้ด”
สปีลเบิร์กตัดสินใจมอบบังเหียนเปลี่ยนมือให้แก่แบรดลีย์ คูเปอร์ ระหว่างการทาบทามให้มาเล่นบทนำในโปรเจ็กต์หนังชีวประวัติของอัครศิลปินชาวอเมริกันผู้เกรียงไกรไปทั่วโลกในวงการดนตรีคลาสสิคและดนตรีสากล
…เลนเนิร์ด เบิร์นสไตน์…
ชื่อเสียงเกียรติยศและความสามารถของเบิร์นสไตน์ รวมไปถึงรางวัลใหญ่ๆ มากมายในแฟ้มประวัติ อย่างเช่น Emmy 7 รางวัล Tony 2 รางวัล Grammy 16 รางวัล เป็นต้น
แฟนเพลงนอกวงการดนตรีคลาสสิคอาจจะรู้จักเบิร์นสไตน์จากความสามารถในการประพันธ์เพลงสำหรับละครมิวสิคัลซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครอมตนิรันดร์กาลของวิลเลียม เช็กสเปียร์ เรื่อง Romeo & Juliet
ซึ่งได้รับการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ครั้งที่สองจากฝีมืออันน่าจดจำของสตีเวน สปีลเบิร์ก เรื่อง West Side Story
เบิร์นสไตน์ยังเป็นผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง On the Waterfront (1954) ซึ่งกำกับฯ โดยบรมครูอีเลีย คาซาน และแสดงนำโดยมาร์ลอน แบรนโด
ในวงการดนตรีคลาสสิค เบิร์นสไตน์เป็นวาทยกรชาวอเมริกันคนแรกที่ก้าวสู่ระดับนานาชาติ เขานำการบรรเลงวงซิมโฟนีออร์เคสตราให้ส่งเสียงกระหึ่มไปทั่วโลก ด้วยซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟ่น “Ode to Joy” ที่กรุงเบอร์ลินในการฉลองการทุบทลายกำแพงเบอร์ลินลง
และนำซิมโฟนีของกุสตาฟ มาห์เลอร์ “Resurrection” มาบรรเลงเพื่อระลึกถึงการจากไปของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้
จากเกียรติประวัติโดยย่อข้างต้น คงจะทำให้เราตระหนักในความสำคัญของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวงการดนตรีผู้ควรค่าแก่ฉายา “อัครศิลปิน” หรือ Maestro ผู้นี้
นี่คือเบื้องหลังเสี้ยวหนึ่งของชีวิตส่วนตัวของเขา
หนังไม่ได้มุ่งอยู่ที่เรื่องราวของอัจฉริยะในเชิงดนตรีที่บากบั่นสร้างสมด้วยใจรักมาแต่วัยเด็กในครอบครัวชาวยิวรัสเซียผู้อพยพมาอยู่ดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาสในโลกใหม่ คือ อเมริกา
มีเพียงการกล่าวถึงอย่างผ่านๆ เผินๆ เล็กน้อยว่าครอบครัวของเบิร์นสไตน์ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าด้านเส้นผม และเลนเนิร์ด หรือ “เลนนี่” ผ่าเหล่าออกมาสู่วงการดนตรี
ในวัยเพียง 25 ปี เลนนี่ ซึ่งเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้ช่วยวาทยกรในวงออร์เคสตรานิวยอร์กฟิลฮาร์โมนิก เจาะทะลุทะลวงด่านทั้งหลายทั้งปวงในอาชีพนักดนตรี ด้วยโอกาสที่หล่นมาบนตักอย่างแทบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1943 วาทยกรรับเชิญของวงเกิดล้มป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ ไม่สามารถขึ้นแสดงกำกับวงได้ เลนนี่ได้รับโทรศัพท์ด่วนให้ขึ้นแท่นวาทยกรแทนอย่างกะทันหัน โดยไม่ได้ซ้อมกับวงด้วยซ้ำ
ผลคือ ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
ชื่อเสียงของเลนเนิร์ด เบิร์นสไตน์ แพร่สะพัดขจรขจายไปทั่วประเทศและทั่วโลกในเวลาต่อมา
และความที่เบิร์นสไตน์มีความสามารถทางดนตรีหลากหลาย ทั้งกำกับวง แต่งเพลง เล่นเปียโน และยังเป็นครูสอนดนตรีอีกด้วย เขาจึงยืนหยัด ยืนยงและเกรียงไกรในวงการดนตรีต่อมาจนตลอดชีวิตของเขา
หนังยังพาดพิงถึงความเป็นคนยิว ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน โดยที่มีผู้อาวุโสแนะนำให้เลนนี่เปลี่ยนชื่อโดยย่อลงจากเบิร์นสไตน์ ซึ่งบอกชนชาติยิว เหลือแค่ “เบิร์นส์”…ซึ่งเป็นคำแนะนำที่เลนนี่ไม่ได้ทำตาม
หนังชีวประวัติ หรือ “ไบโอพิก” เรื่องนี้ก้าวข้ามอัจฉริยภาพด้านดนตรีของเขา โดยให้พรสวรรค์ของเขาเป็นเพียงแบ๊กคกราวด์ที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือตอกย้ำอีกแล้ว
Maestro ใช้คำโปรยว่าหนังเป็นเรื่องราวชีวิตรักของเบิร์นสไตน์
และก็จริงดังนั้น เพราะนี่คือการจำกัดวงชีวิตของเขาให้แคบลงอยู่ที่ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาผู้เป็นนักแสดงดาวรุ่งมาอยู่ภายใต้เงาอันตระหง่านง้ำด้วยชื่อเสียงเกียรติยศของเบิร์นสไตน์
เฟลิเชีย มอนเตเลเกอร์ (แครี่ มัลลิแกน) รับรู้ว่าก่อนหน้านั้น เลนนี่ใช้ชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน
แต่สายสัมพันธ์ทางใจระหว่างเลนนี่กับเฟลิเชียก็มั่นคงและรุนแรงขนาดที่ทั้งสองใช้เวลานั่งพิงหลังกันและกัน และอ่านใจกันและกันเหมือนจะมองเห็นกันอย่างทะลุปรุโปร่ง
ฉากนั่งพิงหลังกันและกันนี้จะกลับมาอีกครั้งในวัยบั้นปลายชีวิต หลังจากผ่านชีวิตคู่ที่มีขาขึ้นขาลงอันชวนปวดร้าวใจ และเป็นองค์ประกอบของภาพที่ตราตรึงและน่าจดจำของหนัง
หนังเริ่มด้วยการโปรยตัวหนังสือจากถ้อยคำของเบิร์นสไตน์ว่า “ผลงานศิลปะนั้นไม่ได้ตอบคำถาม แต่ตั้งคำถามต่างหาก ความหมายอันเป็นข้อใหญ่ใจความนั้นอยู่ในแรงดึงอันตึงเครียดระหว่างคำตอบที่ขัดแย้งกันเอง”
จุดเริ่มต้นของหนังบอกเราอย่างชัดเจนว่า หนังไม่ได้พยายามจะให้คำตอบอย่างชัดเจนแก่เรื่องราวในชีวิตของเบิร์นสไตน์ แต่เราต้องหาความหมายที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง
เรื่องราวความรักและความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้จึงไม่มีคำตอบสุดท้ายเพียงคำตอบเดียว เลนนี่รักภรรยาอย่างเหนียวแน่น แต่ระหว่างนั้นเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับชายอื่นไปด้วยพร้อมกันโดยปิดบังความจริงไว้จากลูกๆ ถึงขั้นที่พูดปดด้วยซ้ำ
หนังเดินเรื่องด้วยสไตล์การถ่ายทำที่แยกอดีตจากปัจจุบันด้วยการเป็นหนังขาวดำและหนังเทคนิคคัลเลอร์ ซึ่งสร้างภาพที่น่าตราตรึงอย่างยิ่ง
เพียงแค่ได้ดูการแสดงอันเหนือชั้นและทุ่มเทจากทั้งแบรดลีย์ คูเปอร์ และแครี่ มัลลิแกน ก็คุ้มแล้วละค่ะ
บราโว! •
MAESTRO
กำกับการแสดง
Bradley Cooper
แสดงนำ
Carey Mulligan
Bradley Cooper
Matt Bomer
Vincenzo Amato
ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022