เปิดใจไอซ์ รักชนก เตรียมตัวเตรียมใจ รับสถานการณ์ ‘ติดคุก’ ‘เราอายุยังน้อย…มีอะไรให้เสียได้’

ไอซ์-รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เปิดใจกับมติชนสุดสัปดาห์ ก่อนวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ที่เธอถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษตามมาตรา 112 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา

จากการทวีตและรีทวีตข้อความ ที่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 และมาตรา 14

ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์วงเงิน 500,000 บาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้องและหรือมีพฤติการณ์ใดๆ ในลักษณะและข้อหาเดียวกัน

 

: การทำงานในสภาช่วงที่ผ่านมา

การทำงานในสภาเอาจริงๆ คือมันก็ต่างจากที่เราคิดเอาไว้ เพราะเราคิดว่าตอนอยู่นอกสภา เราเคยคิดถ้าได้เข้ามานั่งในสภา “ปัญหา” ที่ฉันต้องการแก้ ต้องการลุย ทุกอย่างมันจะสามารถทำได้รวดเร็วเพราะว่าเราจะสามารถเข้ามาผลักดันวาระต่างๆ ได้อะไรทำนองนี้

แต่มันก็ไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น และไม่ได้ตอบสนองทุกอย่างได้ขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เป็นรัฐบาลด้วยรอบนี้ แล้วยิ่งความกดดันทางการเมืองตอนนี้มันเหมือนกับว่าทั้งหมดต่างรุมซัดก้าวไกล มันคือทั้งอำนาจเก่าอำนาจทุนที่ซัพพอร์ตรวมหัวกันซัดก้าวไกล เลยทำให้เราไปทางไหนมันก็แบบขยับตัวลำบากไปหมดเลย แม้กระทั่งอย่างในกรรมาธิการ ก็รู้สึกว่าไม่เป็นอย่างที่เราคาด แต่เราก็จะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

ก่อนเข้าสภา ไอซ์อยากทำเรื่องการศึกษา แต่พอเข้ามาอยู่ในสภาแล้วเราก็ลองไปสัมผัสดู รู้สึกว่าเฮ้ยมันไม่ค่อยเหมาะกับเรา ก็พยายามควานหาเรื่องในสภาที่เราอยากจะจับแล้วตั้งใจจะลงลึกในเรื่องนั้น

ตอนนี้สนใจเรื่องงบประมาณ แต่มันก็มีหลายมิติ ส่วนตัวไอซ์คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญของการเป็นผู้แทนราษฎรนะ ว่าเรื่องในสภาที่คุณจะจับเรื่องไหนแล้วโฟกัสลงลึกทุ่มเทลงไป เพราะว่าไม่อย่างงั้นเวลาทุกวันของคุณจะหมดไปกับการเดี๋ยวประชุมอนุกรรมาธิการ เดี๋ยวประชุมกรรมาธิการ เดี๋ยวลงพื้นที่ แล้วกลายเป็นว่า 4 ปีคุณหมดเวลาแล้ว ยังไม่ทันจับเรื่องไหนเป็นชิ้นเป็นอัน

มันเลยทำให้ไอซ์ต้องหาเรื่องที่เราสนใจมีแพชชั่นกับมันจริงจังแล้วก็มีความรู้พอที่จะถูจะไถ

: คดีที่เป็นชนักติดหลัง ทำให้ไขว้เขวไหม

การที่เราโดนคดีต่างๆ ก็ไม่ได้ทำให้ไขว้เขวในเป้าหมายหรอก ใจเราตัวเราอุดมการณ์เราที่ตื่นมาส่องกระจกมันก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่

แต่ว่ามันก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เช่น ต้องไปขึ้นศาล ต้องไปเตรียมตัวคุยเรื่องคดีอะไรอย่างนี้มันต้องเสียเวลาไปกับส่วนตรงนี้ แต่ว่ามันกลับทำให้เรารู้สึกว่าเอาวะ ถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งเราจะต้องติดคุกสัก 10 ปีอะไรแบบนี้แล้วก็จะใช้เวลาตรงนี้แหละ ถ้าไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกต้องใช้เวลาตรงนี้แหละมาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ได้

เราคิดไปในแง่มุมนั้นมากกว่า เราคิดว่าเราอายุยังน้อยอยู่ เรายังมีอะไรให้เสียได้ ยังมีเวลาในชีวิตที่โอเคถ้าผิดพลาดล้มลุกคลุกคลาน หากต้องหายชีวิตไปสัก 10 ปีอะไรอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร คิดว่าโอเคก็คงอุทิศชีวิตสัก 10 ปีให้กับงานการเมือง รอดูว่าประเทศมันจะเปลี่ยนไปถึงขั้นไหน

ที่ผ่านมาเตรียมตัวเตรียมใจเรื่องคดีตลอด คือเราว่าคนที่โดนคดีทุกคนมันก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจระดับหนึ่งแหละ เพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าถึงวันหนึ่งเขาอยากเล่นเราคือมันง่ายจะตาย ปานดีดนิ้ว แล้วยิ่งแบบสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากก่อนหน้านี้มาก เพราะว่าฝ่ายอำนาจนำเดิม ฝ่ายอนุรักษนิยมเดิมก็ยังมีอำนาจอยู่ เครื่องมืออะไรต่างๆ ก็ยังอยู่ครบ เราเลยต้องเตรียมตัวเตรียมใจตลอด เวลาที่ยังไม่ต้องไปสู่จุดนั้นเราก็ทำหน้าหน้าที่ตรงนี้ของเราให้ดีที่สุด เรามีช่องทางในการสื่อสารสื่อให้พี่น้องในพื้นที่ เรามีช่องทางการสื่อสารของตัวเองที่มีผู้ติดตามเยอะ อยากพูดอะไร อยากขับเคลื่อนอะไรทำก่อนเลยรีบทำ

อยากให้คนจำเราแบบไหนเนี่ยเราก็ต้องรีบทำก่อน ไอซ์ก็วางแผนเอาไว้รับมือกับทุกซีนาริโอที่มันจะเกิดขึ้น ทุกวันนี้เรามีกำลังใจจากเพื่อนๆ ในพรรค จากเพื่อนๆ กลุ่มพลังขับที่ขับเคลื่อนกันมา จากประชาชนที่เขาสนับสนุนเรา สนับสนุนในแนวทางที่เราเรียกร้องอะไร มันก็เต็มเปี่ยมเอ่อล้นทุกวัน

ก็ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าพอเราออกมาสู้ ออกมาพูดแล้วเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว

 

: เรื่องที่ทำให้เสียน้ำตา

จริงๆ เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย ก็เสียน้ำตาหลายเรื่อง คือเวลามีเรื่องมากระทบกระเทือนความรู้สึก เราก็จะแบบรู้สึกว่าการเสียน้ำตามันเป็นการปลดปล่อยอารมณ์รูปแบบหนึ่งของเรา แต่เราก็จะแอบไปเอ่อร้องไห้เงียบๆ

แต่ว่ามันก็มีหลายครั้งที่เสียน้ำตาในสภา อย่างเช่นตอนที่พี่ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องเดินออกจากสภา (หยุดปฏิบัติหน้าที่) คือตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าก็กลั้นไว้ไม่อยู่เหมือนกันเพราะว่ามันคือภาพทับซ้อนกับตอนที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โค้ง หรือว่าตอนที่อนาคตใหม่โดนยุบ คือเรารู้สึกว่าตอนนั้นเราเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ดูอยู่ข้างนอก เราก็รู้สึกแบบเฮ้ย โกรธแค้นแล้ว นี่คือเรา คือคนที่เข้ามาอยู่ในสภาแล้ว แต่ว่าก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มันยิ่งแบบความคับแค้น ความอึดอัดที่สุมแน่นอยู่ในใจ

หรือครั้งหนึ่งที่ได้อภิปรายขอตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับการชุมนุม คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเยาวชนที่ออกมาชุมนุม แต่รัฐไปคิดแทนเขาอีกแล้ว ไปตั้งแง่กับเขาอีกแล้ว ว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือคุณรู้จริงๆ หรือเปล่า เราก็นึกภาพตัวเองเมื่อปี 2563 ใช่มั้ย เราก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกสภาแล้วก็โดนแก๊สน้ำตา โดน เจอรถฉีดน้ำ

แต่วันนี้เรายืนอยู่ในสภา เราคือคนที่เราคือผู้แทนฯ คนหนึ่งที่เคยยืนอยู่ในจุดนั้น แต่รัฐไม่ออกมาฟังอะไรเลยว่าพวกเราเรียกร้องอะไร เราต้องการอะไร ไม่เคยออกมาจับเข่าคุย

แต่ดันมาตั้งแง่ว่าโดนจ้างมา โดนล้างสมองมา

 

: ความฝันของคนที่ชื่อไอซ์

ไอซ์มีความฝันเรียบง่าย ถ้าแก่ตัวไปก็คงอยากจะมีสวัสดิการของรัฐมารองรับเราบ้างอะไรอย่างนี้ เงินเก็บก็พอมี แล้วรัฐก็ซัพพอร์ตส่วนหนึ่งไม่ต้องปากกัดตีตีนถีบมาก อยากให้ลูกหลานเข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ก็ไม่ต้องโอ้โหทุ่มเทเงินมากจนแบบเทอมละหลายล้าน หรือว่าถ้าลูกหลานอยากจะสร้างเนื้อสร้างตัวก็อยากจะให้เขาได้มีโอกาสยกระดับสถานะทางสังคมโดยที่ไม่ถูกขัดขวางทั้งเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุนหรือว่ากฎหมายที่มันไม่เป็นธรรมต่างๆ

ไอซ์อยากเห็นทุกคนในประเทศนี้เสมอเท่าเทียมกันในกฎหมาย ให้กฎหมายมันเป็นกฎหมายจริงๆ ที่บังคับใช้เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะแบบว่าเกิดมาในที่ไหนของประเทศไทย ยากดีมีจนชนชาติชนเผ่าไหนเพศไหนก็แล้วแต่ แค่อยากอยู่ในสังคมที่มันปกติอ่ะ คืออยากอยู่ในสังคมที่มันปกติเท่านั้นเอง

 

: ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็น ส.ส.จะไปทำอะไร?

ถ้าไม่ได้เป็น ส.ส.หรอ ก็คงทำงานอยู่เบื้องหลังอ่ะ คือเรารู้สึกว่าองคาพยพของพรรคก้าวไกลเนี่ยมันมีหลายส่วนที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายสมาชิกซึ่งเป็นโครงสร้างการทำงานของพรรค หรือว่าอาจจะมาช่วยในส่วนของงานสภาอยู่เบื้องหลัง คุณก็ยังสามารถเข้ามาทำเป็นกรรมาธิการอยู่ได้ในกรรมาธิการที่สนใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็น ส.ส. หรือจะมาช่วยยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านเชิงรุกก็ได้ คือการเป็น ส.ส.มันอาจจะทำให้เราเนี่ยมีสิทธิ์มีเสียงที่จะโหวตผ่านร่างกฎหมาย มีพื้นที่ในสภาที่จะอภิปรายได้ 7 นาที แต่ว่ามันก็คงไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต

คือถ้าไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วโอ้โหทำอะไรได้ก็เยอะแยะเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่โอเคมันก็อาจจะเสียสิทธิ์บางอย่าง

 

: ประเทศนี้ยังมีความหวัง?

ก็คือผู้คนไง ผู้คนที่มาลงคะแนนเสียงให้ก้าวไกล คือคุณจะเอาอะไรไปหมดหวังวะ ตอนที่เป็นอนาคตใหม่ มัน 4 ล้านคนกว่าๆ ใช่มั้ยที่ลงคะแนนให้อนาคตใหม่ แต่พอมาเป็นก้าวไกลเนี่ยมัน 14 ล้าน มันเพิ่มขึ้นมา 3 เท่า คุณจะเอาอะไรมาท้อ ที่ทำกันมาเนี่ยมันออกดอกออกผลสวยงาม งดงามขนาดนี้แล้ว

เนี่ยแหละคือแหล่งกำลังใจของเรา คือมองไปแล้วรู้สึกว่าสังคมมันเปลี่ยนได้ คนเราเปลี่ยนได้ เราเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ แล้วคนเราก็เปลี่ยนทุกวัน

ดังนั้น ก็คือประชาชนเนี่ยแหละที่เป็นโหวตเตอร์ เป็นซัพพอร์ตเตอร์ก้าวไกลที่ทำให้เรามีพลังในการที่จะทำบางสิ่งบางอย่างต่อไป

ชมคลิป