หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๐๖)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๐๖)

 

คิดกลับสู่ต้นกำเนิดของเทพนิยาย ด้วยเพราะเทพนิยายเหล่านี้กำเนิดมาจากความดำมืด

เช่น เทพนิยายของนายกริมม์ เป็นนิทานพื้นบ้าน ที่มีมาในยุคมืดของยุโรป ยุคสมัยที่กาฬโรคระบาด ทำลายล้างชีวิตมนุษย์มหาศาล

หรืออย่าง Lord of the Rings ผู้เขียนก็คิดจินตนาการในขณะที่กำลังนอนรอความตายอยู่ในสนามเพลาะ ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ท่ามกลางการระดมยิงของปืนใหญ่ เขาก็คิดนิยายเรื่องนี้ออกมา

เทพนิยายมีกำเนิดมาจากความดำมืด จึงเป็นประกายแสงแห่งความหวัง เป็นความหวานในขม และมีรสขมในหวาน รสนี้จึงจะมีคุณค่า เพราะชีวิตเรานั้น หากปล่อยให้มันจริง แห้งแล้ง โหดเหี้ยมจนเกินไป ก็ไม่ดีกับจิตมนุษย์

ดังนั้น เทพนิยายจึงเป็นเหมือนยาชนิดหนึ่ง ที่มีมาช้านาน และมีพลังอย่างคาดไม่ถึง หากแต่ต้องอย่าลืมตัว

ฉันจำได้ว่า แม้แต่ Don Quixote ต้นกำเนิดของมันนั้น คือเรื่องเล่าของนักโทษที่กำลังจะถูกแขวนคอ ในขณะรอการแขวนคอ นักโทษเหล่านั้นไม่มีอะไรทำ จึงฆ่าเวลา ด้วยการเล่านิยาย แต่งนิทาน ต้นกำเนิดของมันดำมืดเช่นนี้ มันจึงมีคุณค่า

 

ยุคสมัยเปลี่ยนไป ยุคหลังนี้มีคนทำให้เทพนิยายกลายเป็นนิทานสำหรับเบบี้ ใสแป๋ว เรียกว่าหาเงามืดใดไม่เจอ มันหวานเลี่ยน จนสรรพคุณแห่งความเป็นยาหายไปหมด ทันใดนั้น ฉันรู้สึกเกลียดชังเทพนิยาย จากยากลายเป็นท็อฟฟี่ ที่อมแล้วฟันผุ

สิ่งมีชีวิตในเทพนิยายจึงเป็นเด็กที่น่าสนใจ ไม่ธรรมดา แต่ทว่า ไม่ใช่ดาราที่ฉันเห็นในหนัง พวกเขาเป็นดารามากเกินไป ใสเกิน ที่จริงมันต้องธรรมดากว่านี้ แต่ก็ไม่ธรรมดา นี้คือภาพของเทพนิยายจริงในจิตของฉัน

คริสต์ศาสนา คือเทพนิยาย ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความโหดร้ายของอาณาจักรโรมัน ยุคสมัยที่จับคนไปเป็นอาหารของเสือ สิงโต ให้มันจับกินท่ามกลางสายตาของผู้ชม ถือเป็นบันเทิง บังคับคนให้มาเป็น Gladiators ให้รบกันจนตาย

นี้คือบันเทิงที่เสมอเหมือนหนังของยุคนี้ Amphitheatre คือทีวีจอยักษ์ในยุคนั้น

ในความดำมืดนี้เอง ที่เกิดสิ่งตรงข้ามขึ้น ดวงจิตของชาวคริสต์ยุคแรกใสเหลือเกิน บริสุทธิ์เกินบรรยาย

พุทธศาสนาเองก็เป็นเทพนิยาย ที่กำเนิดในอินเดีย ในยุคสมัยที่มนุษย์แบ่งชนชั้นอย่างสุดโต่ง ลำพังแค่ความนึกคิดที่ว่ามนุษย์ไม่มีชนชั้น มีความเสมอภาค ที่กำเนิดในยุคสมัยอย่างนั้น ก็น่าพิศวงยิ่งนัก และกล้าหาญเหลือเกิน

เพียงแต่กาลเวลาผ่านไป มนุษย์อาจลืมสรรพคุณแห่งความเป็นยาของมันไป รสของมันแปรเปลี่ยน หวานขึ้น จนไม่เหลือรสเดิม

เราลืมความดำมืดของจิตมนุษย์ เท่ากับเราลืมความจริง พุทธของทุกวันนี้ เป็นพุทธที่หวานเลี่ยน

 

นิยายกำลังภายใน เป็นเทพนิยายสมัยใหม่ มันเป็นจักรวาลในตัวมันเอง แต่หากเรามองลึกลงไปที่ความจริง ผู้มีกำลังภายในเหล่านี้ทำงานได้เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น คือ เป็นมือสังหาร และเป็นขโมย

นอกนั้นไม่มีประโยชน์ใดเลย ไม่มีผลต่อสังคมและโลกนี้

จริงๆ แล้วนิยายกำลังภายในเป็นเรื่องแต่ง เรื่องโม้ ที่เกิดขึ้นมาไม่นานมานี่เอง

คนเขียนทุกคนยอมรับว่าโม้ขึ้นมาเองทั้งหมด หรือเกือบหมด

แทบจะไม่มีมูลความจริงใดๆ เลย

มันได้รับความนิยม นี้คือสิ่งที่น่าพิศวง

เพราะพวกเขาหากสู้รบกับทหารจริงๆ แล้ว จะสู้ไม่ได้เลย จึงไร้คุณค่า

หากแต่พวกเขามีความว่องไว มีวิชาตัวเบา จึงอาจวิ่งหนีได้ทัน

อาจเป็นมือสังหาร ด้วยเพราะมือสังหารต้องการความเงียบ คนน้อย และเร้นลับ

เช่นเดียวกับการเป็นขโมย

ผู้มีกำลังภายในเหล่านี้ นอกจากจะฝึกฝนเพื่อตัวเองจะมีสุขภาพดีแล้ว ก็ทำงานได้เพียงแค่สองอย่าง และเป็นสองอย่างที่มีความหมายน้อย

 

๑๐

โลกนี้มี Brexit มันดีหรือไม่ดี ฉันไม่รู้ เพราะมันต้องใช้เวลา รอให้เหตุการณ์คลี่คลาย ยกเว้นแต่ว่าเรามี Reality Leak หรือการรั่วไหลของความจริงบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้รั่วไหลเข้ามาถึงปัจจุบัน

คำว่า Reality Leak นี้ลึกซึ้งยิ่งนัก มันเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีโลกของ Quantum ซึ่งทำให้ความจริงเป็นเหมือนของเหลว เหมือนแก๊ส ที่รั่วไหลได้ แม้แต่ความจริงก็เปลี่ยนแปลงได้

มนุษย์จึงสามารถรู้อนาคตได้ มองเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิด และเพราะการมองเห็นนี่เอง ที่ทำให้อาจป้องกันมันได้

๑๑

นี้เป็นคอนเซ็ปต์สมัยใหม่ มันสอดคล้องกับ Quantum หรือการใช้ Quantum Computer ทุกสิ่งเป็นสิ่งเดียวกัน หากจริงก็จริงทั้งแผง หากไม่จริงก็ไม่จริงหมด หรือพูดอีกที หากมี Quantum Computer สิ่งที่เรียกว่า Reality Leak ก็เกิดขึ้นได้จริง แต่ใครล่ะจะใช้มันได้

หาก Reality Leak มีอยู่จริง แสดงว่าเราเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ เพราะอนาคตเป็นเพียง Quantum ที่ยังอ่อนไหว พลิ้วได้ในกาลเวลา มันเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น การที่มนุษย์มาถึงขั้นนี้ได้ แสดงว่าเรามาได้ไกลมาก เราเริ่มมองเห็นปัญหา แตกออกเป็นหลายมิติ เราจึงลึกซึ้งขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้น

๑๒

เรามีทางเลือกมากขึ้น เพราะกาลเวลามีค่ามากขึ้น ด้วยทุกหนึ่งวินาทีสามารถแบ่งย่อยออกเป็นสิบ และแต่ละหนึ่งในสิบนั้นเกิดความหมาย สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นเท่าไร เราก็มีทางเลือกมากขึ้นเท่านั้น