รับกระแสอีวี

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ขออนุญาตเขียนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีต่ออีกตอนหนึ่งนะครับ

เพราะตอนนี้ตัวเลขยอดขายรถในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ออกมาแล้ว

ช่วงวันแรกๆ ยอดขายของ BYD แบรนด์จีนที่เพิ่งเข้าตลาดมาได้ไม่กี่ปีขึ้นมาอันดับ 1

และรถจีนขยับขึ้นมาอันดับต้นๆ แซงรถญี่ปุ่นแบรนด์ดังๆ ที่คุ้นหูคนไทยมายาวนาน

แต่พอถึงวันสุดท้าย รถญี่ปุ่นก็เริ่มตีตื้น

“โตโยต้า” เป็นอันดับ 1

รองลงมาเป็น “ฮอนด้า”

แต่อันดับที่ 3 คือ BYD

อันดับ 4 Aion

อันดับ 5 MG

อันดับ 6 GWM

อันดับ 7 ChangAn

อันดับ 8 Isuzu

อันดับ 9 Nissan

อันดับ 10 Mazda

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ รถยนต์แบรนด์จีนติดอันดับถึง 5 ใน 10

ยอดขายประมาณ 45% ของยอดขายทั้งหมดในงาน

และรถยนต์ของจีน ส่วนใหญ่เป็นรถอีวี

ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ

ในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยอดขายรถอีวีประมาณ 21% ของยอดขายทั้งหมด

วันนี้ถ้ารถยนต์แบรนด์จีนที่ขายในงาน 90% เป็นรถอีวี

แสดงว่ายอดขายรถอีวีในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปสูงถึง 40% ของยอดขายทั้งหมดในงาน

จาก 21% เมื่อเดือนมีนาคม เป็น 40% ในเดือนธันวาคม

แค่ 9 เดือนเพิ่มขึ้นเท่าตัวเลยนะครับ

แม้ยอดขายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปจะไม่สะท้อนภาพที่แท้จริงของตลาดรถยนต์ทั้งหมด

เพราะกลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นคนกรุงเป็นส่วนใหญ่

แต่ก็เป็น “สัญญาณ” ที่น่าจับตามอง

ยิ่งตัวเลขรถอีวีขยับขึ้นมาประมาณเท่าตัว กินส่วนแบ่งเกือบครึ่งของยอดขายทั้งหมดในงาน

คนในอุตสาหกรรมรถยนต์เจอสัญญาณแบบนี้

ถ้าไม่หวั่นไหวก็จิตแข็งมากๆ เลยครับ

 

ในมุมมองของผมเชื่อว่ารถอีวีแจ้งเกิดแล้วอย่างเป็นทางการ

และอัตราการเติบโตจะรวดเร็วมากๆ

ประเด็นที่น่าคิดต่อ ก็คือ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง

และโอกาสทางธุรกิจอยู่ที่ไหน

ผมชอบตั้งโจทย์แบบนี้เวลาที่เห็นความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้น

เหมือนตอนสมัยเรียน ม.ปลาย

ผมชอบวิชาฟิสิกส์

จะมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่บ้าแก้โจทย์ฟิสิกส์เหมือนกัน

เวลาเจอโจทย์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราจะแย่งกันแก้โจทย์

ใครทำได้ก่อน จะภูมิใจมาก

เช่นเดียวกับเวลาเกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ผมชอบคิดต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

อย่างเรื่องรถอีวีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในวันนี้

มีประเด็นหนึ่งที่คนกังวล คือ สถานีชาร์จ

เขานึกถึงตอนไปต่างจังหวัด ถ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

พอน้ำมันหมดก็เข้าปั๊ม

ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็วิ่งต่อได้

แต่รถอีวี สถานีชาร์จยังมีน้อย

และใช้เวลาในการชาร์จไฟนานกว่าเติมน้ำมันมาก

คนที่กังวลส่วนใหญ่เป็นคนที่ยังใช้รถน้ำมัน ยังไม่ได้ใช้รถอีวี

เพราะคนที่ใช้รถอีวีส่วนใหญ่จะบอกว่าไม่มีปัญหา

เพราะส่วนใหญ่จะใช้ในเมือง

กลับบ้านก็ชาร์จที่บ้าน

ไปต่างจังหวัดก็วางแผนล่วงหน้าว่าจะไปชาร์จที่ไหน

เปิดแอพพ์ดูก็จะรู้ว่ามีสถานีชาร์จที่ไหน

สามารถจองล่วงหน้าได้

“ปัญหา” ไม่ได้หนักหนาสาหัสมากนักเพราะรถอีวียังน้อยอยู่

แต่ทุกคนยอมรับว่าไม่คล่องตัวเหมือนรถที่ใช้น้ำมัน

โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวที่คนออกต่างจังหวัดเยอะ

ในมุมหนึ่ง “สถานีชาร์จ” เป็น “ปัญหา”

แต่อีกมุมหนึ่ง “สถานีชาร์จ” คือ “โอกาส” ทางธุรกิจ

 

ประเด็นที่น่าสนใจมี 2 เรื่องครับ

เรื่องแรก เมื่อยอดขายรถอีวีพุ่งทะยานขนาดนี้ ถ้าเป็นนักลงทุนเขาคงต้องเริ่มคิดแล้ว

ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนสถานีชาร์จยังไม่น่าสนใจเท่าไร

เพราะจำนวนรถอีวียังน้อยอยู่

แต่ตอนนี้ความน่าสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้นแล้ว

ผมเชื่อว่าต่อไปจะมีสถานีชาร์จขนาดใหญ่เกิดขึ้นแบบที่เห็นในต่างประเทศ

สามารถชาร์จพร้อมกันได้ 20-30 คัน

ไม่ต้องรอคิว

และเนื่องจากการชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลาค่อนข้างนาน

รถน้ำมัน เข้าปั๊มใช้เวลาไม่กี่นาที

คนส่วนใหญ่จะเข้าห้องน้ำแล้วไป

แต่ถ้าเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้า ต้องใช้เวลานานหน่อย

บางคนอยากชาร์จเต็มๆ ก็อาจต้องใช้เวลา 30-50 นาที

นั่นคือ “โอกาส” ทางธุรกิจ

ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านค้าต่างๆ ในสถานีชาร์จมีโอกาสขายของมากขึ้น

เพราะคนที่จอดรถชาร์จมีเวลาว่างนานพอสมควรระหว่างการรอ

ระดับที่สาวๆ เดินช้อปของได้เลย

เรื่องที่สอง คนที่ซื้อคอนโดฯ จะมีปัญหามากในการซื้อรถอีวี

เพราะตามปกติคนที่ใช้รถอีวีจะชาร์จไฟที่บ้านตอนกลางคืน

แต่คอนโดฯ ส่วนใหญ่มีหัวชาร์จน้อยมาก

ในมุมการตลาด นักธุรกิจที่ทำคอนโดฯ คงต้องคิดเรื่องนี้มากขึ้น

“หัวชาร์จ” ที่เคยเป็นแค่อุปกรณ์เสริมเท่ๆ

อาจกลายเป็นอุปกรณ์หลักของคอนโดฯ ในวันนี้ก็ได้

…เป็น “จุดขาย” ใหม่

เหมือนตอนนี้คอนโดมิเนียมบางแห่งที่มีจุดขายใหม่ คือสามารถเลี้ยงน้องหมา น้องแมวในคอนโดฯ ได้

ถ้าคอนโดฯ ไหนจะจับกลุ่มคนที่มีรถอีวี หรืออยากมีรถอีวีก็อาจต้องดีไซน์ที่จอดรถใหม่

อาจมีชั้นหนึ่งมีสถานีชาร์จไฟโดยเฉพาะสำหรับรถอีวีก็ได้

แล้วโฆษณาเป็น “จุดขาย”

ตะโกนดังๆ ก่อนใครเลย

หรือร้านอาหารใหญ่ๆ ในจังหวัดท่องเที่ยว

สถานีชาร์จไฟอาจเป็น “จุดขาย” ใหม่ของร้าน

มากินข้าวที่ร้านนี้

ชาร์จไฟแล้วไปต่อได้

 

ครับ แค่คิดก็สนุกแล้ว

ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้แบบนักธุรกิจ ที่คิดแล้วลงมือทำ

แต่ผมเป็นพวกคิดแล้วลงมือ “คอย”

คอยคนอื่นทำ

ถ้ามีใครลงมือทำแล้วเป็นจริงหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่คิด

ผมก็จะดีใจ

แล้วชมตัวเอง

…เก่งจังเลย

แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC