ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 ธันวาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
วันนี้ขอเขียนเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนตัวสักหน่อยได้ไหมครับ
ท่านผู้อ่านท่านใดอ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิดจะข้ามไปก็ได้ครับ
แต่ผมนึกเองเออเองว่า เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนวัยเดียวกัน หรือบรรดาผู้คุ้นเคยจะได้ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ อะไรประมาณนั้น
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมมีอายุครบ 68 ปีเต็ม โดยรวมแล้วก็ต้องถือว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพพอใช้ได้สำหรับคนวัยนี้ จะมีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
ที่ต้องกินยาอยู่เป็นประจำทุกวันเพื่อประคับประคองอาการก็มีเรื่องของกรดไหลย้อน ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย กับต้องสูดยาเพื่อรักษาอาการหลอดลมอักเสบ
ถ้าให้คะแนนประเมินตัวเองแล้วผมก็คิดว่าอยู่ในเกณฑ์สอบผ่าน ไม่มีโรคอะไรที่น่ากังวลใจเป็นพิเศษ
เมื่อประเมินตัวเองอย่างนั้นแล้ว ผมจึงใช้ชีวิตตามปกติครับ กิจกรรมในแต่ละวันมีมากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสอนหนังสือ การประชุม การพบปะสังสรรค์
หรือแม้กระทั่งการไปเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ล่าสุดที่เรื่องจะเป็นเรื่องขึ้นมา คือมีคนชวนผมไปเที่ยวเกาะไหหลำ ในช่วงเวลาประมาณสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ผู้ร่วมเดินทางอายุอานามพอกันทั้งนั้นครับ และเราใช้เวลาอยู่ที่เกาะดังกล่าวถึงห้าคืนห้าวันเต็ม เป็นโปรแกรมการท่องเที่ยวที่สนุกสนานและกินอิ่มนอนหลับครับ
นอกจากการท่องเที่ยวตามโปรแกรมของนักท่องเที่ยวปกติแล้ว คณะของเรายังมีโปรแกรมพิเศษหนึ่งวัน เป็นการตามหาญาติของสมาชิกผู้ร่วมเดินทางท่านหนึ่งซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวไหหลำ
ข้อนี้ต้องชมบริษัททัวร์ที่สามารถควานหาบ้านญาติของสมาชิกในคณะทัวร์ของเราได้เป็นผลสำเร็จ
ขนาดผมไม่ได้เป็นสายโลหิตกับเขา ยังรู้สึกน้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มเลยครับ
ค่ำวันเดียวกันนั้นยังมีโปรแกรมพิเศษอีกรายการหนึ่ง คือการไปตามหาบ้านหลังใหญ่มหึมาขนาด 70 ห้อง ที่บรรพบุรุษของสมาชิกอีกคนหนึ่งในคณะได้ส่งเงินทองกลับไปสร้างบ้านหลังนี้ไว้ในอดีต และปัจจุบันกลายเป็นบ้านร้างเสียแล้ว
เราไปถึงบ้านหลังนั้นเวลาใกล้ค่ำ บ้านทั้งหลังปกคลุมด้วยต้นไม้เหมือนหนังฮอลลีวู้ดเลยครับ
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่บ้านหลังนั้นนานพอสมควร โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของทางการจีน พอทราบข่าวว่าพวกเราไปอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็รีบมาพบเพื่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ คุยกันยาวจนพระอาทิตย์ตกดิน
รู้สึกรำคาญเหมือนกันครับว่ามียุงมารบกวน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
กลับมากรุงเทพฯ แล้วก็ยังไม่ได้คิดอะไรอีก ผมกลับมาถึงที่นี่วันที่ 24 ตุลาคมตอนค่ำ อีกไม่กี่วันต่อมาก็ไปสัมมนาที่ภูเก็ต
คราวนี้ก็เป็นเรื่องสิครับ วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม ผมเริ่มมีอาการเป็นไข้ตั้งแต่เช้า และร่างกายอ่อนเพลียลงอย่างรวดเร็ว มื้อกลางวันกินอะไรไม่ลงแล้ว
เมื่อเดินทางมาสนามบินภูเก็ตเพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ก็ต้องขอให้สายการบินช่วยจัดเก้าอี้รถเข็นให้นั่ง เรียกว่าอาการทรุดลงรวดเร็ว แต่ยังไม่ได้วัดอุณหภูมินะครับว่าไข้ขึ้นไปเท่าไหร่แน่
มาถึงดอนเมืองแล้วยังสงสัยว่าตัวเองเป็นโควิดหรือไม่ ผมจึงเลือกที่จะเดินทางไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ทั้งบ้านและใกล้ทั้งดอนเมือง เพื่อให้คุณหมอตรวจดูอาการ
คุณหมอบอกว่าไม่ใช่โควิดแน่ แต่น่าเป็นห่วงเพราะไข้ขึ้นไปสูงถึง 39.9 แล้ว ผมควรจะไปแอดมิดที่โรงพยาบาลที่เป็นเจ้าของชีวิตของผมมาแต่ไหนแต่ไร คือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เป็นอันว่าสองทุ่มครึ่งคืนวันนั้นผมก็มาถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ มาถึงก็เข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อให้มีการตรวจอย่างละเอียด
สุดท้ายเฉลยผลว่า ผมเป็นไข้เลือดออก
นับอายุความแล้วสันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นเพราะยุงไหหลำนั่นเอง ระยะฟักตัวประมาณสี่ห้าวัน พอดิบพอดีเลยครับ
นอกจากอาการไข้สูงแล้ว คุณหมอบอกด้วยว่าเกร็ดเลือดก็ลดลงต่ำ ธรรมดาเราจะต้องมีค่าเกร็ดเลือดอยู่ที่ประมาณ 100,000 เวลาที่ลดลงต่ำมากเกร็ดเลือดของผมอยู่ที่แค่ 6,000
คุณหมอบังคับให้อยู่แต่บนเตียงห้ามกระดุกกระดิกไปไหน อาการของผมที่รู้สึกได้ด้วยตัวเองคือเพลียเหลือเกิน ต้องการนอนลูกเดียว
ส่วนคุณหมอจะให้น้ำเกลือหรือให้เกร็ดเลือดเพิ่มนั้นก็สุดแล้วแต่ดุลพินิจของคณะแพทย์ทั้งปวง จนชั้นแต่จะแปรงฟันยังถูกห้ามว่าไม่ต้องแปรงเลยครับ เพราะเกรงว่าเลือดจะออก ต้องใช้วิธีบ้วนปากเอาอย่างเดียว
อาหารการกินคุณหมอไม่ได้ห้ามอะไร แต่เรากินไม่ลงเองครับ ทุกอย่างกินเข้าไปแล้วขมปากไปหมด
เนื่องจากต้องเจาะเลือดไปตรวจสอบค่าต่างๆ วันละหลายรอบ นานวันเข้าการหาเส้นเลือดหาได้ยากขึ้นทุกที จนคุณพยาบาลออกปากว่า “อาจารย์เป็นคนไม่มีเส้น”
หูยยยย ฟังแล้วเสียเซลฟ์มั่กๆ
ผมนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาแปดคืน ตอนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านค่าเกร็ดเลือดเพิ่มขึ้นไปเป็น 70,000 แล้ว แต่คุณหมอก็ยังกำชับว่าให้ระมัดระวังอย่าให้เลือดออก
นี่เองเป็นสาเหตุที่ผมขาดส่งการบ้านในคอลัมน์นี้ไปร่วมสองเดือน เพราะแม้กลับมาบ้านแล้วก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียต้องนอนพักมากกว่าปกติ
นอนมันส์มากครับ เมื่อออกจากโรงพยาบาลมาบ้านใหม่ๆ นอนตั้งแต่สองทุ่มตื่น 9 โมงเช้า นับว่านอนกินบ้านกินเมืองมากจริงๆ
ป่วยเป็นไข้เลือดออกคราวนี้ได้ความรู้ว่า ผู้ใหญ่เวลาเป็นไข้เลือดออกแล้วเรื่องใหญ่จริงๆ สู้ป่วยตอนเป็นเด็กไม่ได้ อย่างว่านะครับ เราอายุมากแล้ว กว่าทุกอย่างจะฟื้นฟูกลับมามีสภาพดังเดิมก็ต้องใช้เวลามากกว่าลูกหลานเป็นธรรมดา
อีกประการหนึ่ง ผมก็เพิ่งตระหนักว่ายุคสมัยนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาดและไม่ได้ระบาดแต่เฉพาะบ้านเราเท่านั้น ระบาดไปจนถึงเกาะไหหลำโน่น มีผู้ค้นข้อมูลให้ว่าช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่เกาะไหหลำนั้น มีชาวเกาะเป็นไข้เลือดออกกว่าหมื่นคนแล้ว
สงสัยทุกคนจะไปดูบ้านหลังเดียวกับผมกระมัง ฮา!
นอกจากนั้นยังมีผู้มาเพิ่มความรู้ผมอีกหน่อยหนึ่งว่า เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง เรียกง่ายๆ ว่าโลกร้อนขึ้น ยุงก็เลยย้ายถิ่นฐานขยับสูงขึ้นไปกว่าประเทศที่อยู่มาดั้งเดิม ประเทศที่อยู่เหนือเราขึ้นไปและไม่เคยมีไข้เลือดออกตอนนี้ก็เกิดมีคนป่วยด้วยโรคนี้แล้ว คุณหมอประเทศนั้นไม่คุ้นเคยกับโรคนี้ เพราะเป็นโรคเมืองร้อนไม่ใช่โรคเมืองหนาว
วุ่นวายกันไปหมดครับ
ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลคราวนี้ทำให้ได้คติสอนใจตัวเองว่า ชีวิตนี้เป็นของไม่แน่นอนเลย ถ้าไม่ได้ความกรุณาจากคุณหมอทั้งหลายและความรู้เรื่องการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ผมไปตกหล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่เข้าไม่ถึงบริการทางสาธารณสุขขนาดนี้ ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งเขียนอะไรอยู่ตรงนี้อีกแล้ว
เรื่องบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและทั่วถึง จึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของจริง และเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน
ว่าแต่ว่า เวลานี้ข้อความในย่อหน้าข้างต้นก่อนหน้านี้ เป็นจริงในบ้านเราแล้วหรือยัง
ช่วยกันถาม ช่วยกันตอบหน่อยครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022