ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 ธันวาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | คลุกวงใน |
ผู้เขียน | พิศณุ นิลกลัด |
เผยแพร่ |
คลุกวงใน | พิศณุ นิลกลัด
Facebook : @Pitsanuofficial
นักฟุตบอลกับความสำคัญของเท้า
นักฟุตบอลกับเท้าเป็นของคู่กัน เรียกว่าเท้าคือเครื่องมือหาเลี้ยงชีพที่สำคัญอย่างยิ่งของนักฟุตบอล ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านศึกมาด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เท้าของนักฟุตบอลส่วนใหญ่จะดูไม่น่ามองสักเท่าไร
ผิวหนังเท้าที่ดูด้าน นิ้วเท้าบวมพองผิดรูป เล็บเท้าไม่สวย ซึ่งเกิดจากการสวมรองเท้าสตั๊ดที่บีบแน่นอยู่ตลอดเวลา และใช้งานหนักตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน
แต่การมีเท้าที่ไม่สวยงามก็เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมแลกเพื่อเส้นทางอาชีพที่สวยหรูในฐานะนักฟุตบอล
แอนน์-มารี โอคอนเนอร์ (Anne-Marie O’Connor) นักบาทานามัย (Podiatrist) ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับนักเตะชื่อดังของสโมสรในพรีเมียร์ ลีกและดิวิชั่นล่างๆ ของอังกฤษมา 10 ปี ได้เห็นเท้าของนักฟุตบอลมานับไม่ถ้วน ยืนยันเต็มปากว่าสภาพเท้านักฟุตบอลแต่ละคนหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
แอนน์-มารี บอกว่านักฟุตบอลส่วนใหญ่จะสวมรองเท้าสตั๊ดเบอร์ที่กระชับเท้าที่สุด เพื่อให้เท้าได้สัมผัสลูกฟุตบอลมากขึ้น และลดช่องว่างระหว่างเท้ากับรองเท้าเวลาเคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดข้อเท้าแพลง ข้อเท้าพลิก
แต่การสวมรองเท้าแน่นเกินไปนานๆ ส่งผลให้นิ้วเท้าของนักฟุตบอลถูกบีบแน่นจนผิดรูป รวมถึงผิวหนังด้านหนา (Callus) และเท้าพอง (Blister)
รองเท้าสตั๊ดในยุคปัจจุบันออกแบบมาให้มีความบางเบา ช่วยให้นักฟุตบอลเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและคล่องตัวขึ้น
แต่การที่นักฟุตบอลสวมรองเท้าเบอร์เล็กมากกว่าปกติหนึ่งไซซ์หรือสองไซซ์ และสวมรองเท้าที่มีเทคโนโลยีแบบบางเบาวิ่งได้เร็วขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยเกราะป้องกันเท้าที่น้อยนิด เพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บเวลาโดนเข้าปะทะหรือเหยียบเท้าโดยนักเตะทีมคู่แข่ง ทำให้เท้าบวม เกิดเลือดคั่งใต้เล็บเท้า ซึ่งเป็นอาการที่พบเจอบ่อย
นักเตะดังๆ ของโลกอย่างเมสซี่ โรนัลโด้ เนย์มาร์ และอีกหลายๆ คน ได้รับประโยชน์จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์รองเท้าสตั๊ดชื่อดัง ที่ช่วยเรื่องการออกแบบรองเท้าให้เหมาะสมตามลักษณะเท้าของตัวเองเป๊ะๆ สวมสบายเท้า
แอนน์-มารี บอกว่าถ้าให้นักฟุตบอลเลือกระหว่าง (1) รองเท้าสตั๊ดที่จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บทั้งหลาย กับ (2) รองเท้าที่จะทำให้แสดงผลงานในสนามได้ดีขึ้น
นักฟุตบอลร้อยทั้งร้อยก็จะเลือกรองเท้าแบบที่ 2
นักฟุตบอลที่เล่นด้วยเท้าเปล่ามาตลอดในสมัยที่ยังเป็นเด็ก และเพิ่งมาสวมรองเท้าเล่นตอนโต จะมีกล้ามเนื้อเท้าที่แข็งแรงมาก จึงมีความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บทั่วไปน้อยกว่าคนที่สวมรองเท้าเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ
เพราะคนที่สวมรองเท้ามาตลอดแทบไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อเท้าเลย
นักฟุตบอลโดยทั่วไปจะมีขาที่ค่อนข้างโก่ง (Bow legs) เพราะด้วยลักษณะการเล่นฟุตบอลที่ต้องยืนปักหลักด้วยขาข้างหนึ่ง และเตะอีกข้างหนึ่ง จึงทำให้น้ำหนักตัวทิ้งไปที่ข้างขาด้านนอก
เมื่อเวลาผ่านไปกระดูกของนักฟุตบอลก็จะมีวิวัฒนาการจนกลายเป็นขาโก่ง และขาสองข้างจะยาวไม่เท่ากันด้วย
โดยคนปกติจะมีความยาวของขาสองข้างต่างกันไม่เกิน 4 มิลลิเมตร ส่วนนักฟุตบอลมักจะต่างกันโดยเฉลี่ย 6 มิลลิเมตร
ยิ่งนักฟุตบอลในตำแหน่งริมเส้นที่ต้องเตะเปิดบอลบ่อยๆ จะสังเกตได้ชัดว่า ขาค่อนข้างโก่งมากเพราะต้องง้างเท้าเตะลูกบอลเพื่อให้ไซด์โค้งๆ ซึ่งถ้าขาตรงจะไม่สามารถใส่ความโค้งให้ลูกบอลได้มาก
ดังนั้น การที่ขาโก่งจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของนักฟุตบอลในตำแหน่งปีกและแบ๊ก
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022