Ouranophile Bar | เรื่องสั้น : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

เรื่องสั้น | ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

Ouranophile Bar

 

“ร้านนี้โคตรคูลเลย มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย”

เสียงเพิ่งแตกหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะผมกำลังง่วนอยู่กับจานกองโตในอ่างล้างหน้า

“อะไรนะครับ ครูอะไร?” ผมเอี้ยวตัวหันไปมองต้นเสียง

“คูล ค่ะพี่ คอควาย สระอู ลอลิง แปลว่า เท่” หญิงสาวผมสั้นเลยติ่งหูนิดหน่อยบอกผม ทั้งสองคนน่าจะเป็นแฟนกัน ผมสรุปได้เช่นนั้น

“นั่งก่อนเลยครับ ดื่มอะไรกันดี พิซซ่าโฮมเมดก็มีนะ” ผมเช็ดมือกับผ้าเช็ดจาน

“ม็อคเทลเสาวรสหนึ่งแก้ว กับพิซซ่าหน้าเห็ดรวมถาดเล็กค่ะ”

“ผมเอาคราฟต์โคล่าโซดา ขอแบบซ่าๆ นะพี่”

ผมเปิดบาร์อยู่หน้าโรงเรียนมัธยม ในจังหวัดเล็กๆ ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย บาร์ชื่อว่า ‘Ouranophile’ ซึ่งแปลว่า ผู้ที่หลงรักในท้องฟ้า เป็นคำที่มาจากภาษากรีก Ouran?s มีความหมายว่าท้องฟ้า และ -phile ที่แปลว่าผู้หลงรักบางสิ่ง

แต่ลูกค้าส่วนใหญ่จะเรียกติดปากกันว่า ‘บาร์ท้องฟ้า’ และแน่นอนว่าเป็นบาร์ที่ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ขายบุหรี่ และอบายมุขทุกชนิด เพราะร้านอยู่หน้าโรงเรียน แต่พื้นที่ตรงกลางร้านกลับมีโต๊ะสนุ้กเกอร์ตั้งตรงกลางร้าน พร้อมข้อความฟอนต์สีแดงบนป้ายสีขาวติดผนังว่า “ห้ามเล่นการพนันในร้าน”

ตำรวจ ทหาร สรรพสามิต เคยมาตรวจร้านผมบ่อยครั้ง ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ทั้งกลางวันและกลางคืน ค้นทุกซอกสอดส่องทุกมุมของร้าน หาสิ่งผิดกฎหมาย อบายมุข คล้ายตำรวจปลดล็อกกุญแจมือสำหรับข้อมือของผมมาจากหน้าร้าน เพราะร้านอยู่บนถนนเส้นเดียวกับเรือนจำ ศาล สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และอยู่ตรงข้ามโรงเรียน

เมื่อผู้มาเยือนไม่เจออะไร และผมยืนยันทุกครั้ง ว่าขายเฉพาะเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ พวกเขาเลยขอให้ผมติดป้ายเพิ่มอีกแผ่น “ห้ามนักเรียนเล่นสนุ้กเกอร์ก่อนเวลา 16.00 น.”

ผมทำน้ำม็อคเทลเสาวรส และผสมโคล่าโซดา เป็นคราฟต์โคล่าที่ผมต้มเองจากสมุนไพรและเครื่องเทศ จริงๆ แล้วผมก็ต้มเบียร์เองด้วย เพียงแต่ต้มที่บ้านของแม่ ดื่มคนเดียว ไม่มีใครรู้ แม่ก็ไม่รู้

นักเรียนทั้งสองจดจ่ออยู่กับเครื่องเล่นแผ่นเสียง มองวงโคจรของแผ่นเสียงอย่างไม่ลดละสายตา เหมือนเวลาจดจ่อสายตาขณะดูม้าแข่ง แม้ผมจะส่งเสียงเรียก บอกว่าเครื่องดื่มได้แล้ว และพิซซ่าก็พร้อมเสิร์ฟ แต่คล้ายว่าเสียงนั้นเป็นการสื่อสารทางเดียว

“แผ่นเสียงเหมือนโดนัทสีดำเลยเนอะ เชนว่าไหม?”

“โดนัทอะไรจะบาง และแผ่นใหญ่ขนาดนี้ เพ้อเจ้อใหญ่ละบลู”

ผมมองมือของชายหนุ่มที่ยีไปบนศีรษะของหญิงสาว

บางคราวผมก็นึกถึงรักแรก…

 

ผมเรียนจบมัธยมจากโรงเรียนฝั่งตรงข้ามแห่งนั้นเช่นกัน ก่อนจะหอบฝันที่อยากเป็นนักร้อง ขึ้นไปเมืองหลวง เมืองที่ใหญ่และมีอะไรให้แสวงหามากกว่าเมืองนี้ เริ่มต้นร้องเพลงกลางคืน ร้านแล้วร้านเล่า ร้องแต่เพลงของคนอื่น แนวเพลงที่ร้องก็ต่างออกไปตามสไตล์ของร้าน

จนวันหนึ่งเสียงของผมก็หายไป และเมื่อโลกเข้าสู่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ผมตัดสินใจกลับบ้าน มีมรดกของพ่อนิดหน่อย ขายที่นาเหล่านั้น และซื้อห้องแถวสองชั้นหน้าโรงเรียน เมื่อก่อนเคยเป็นร้านเช่าหนัง และมีร้านเกมเพลย์สเตชั่นแอบเปิดด้านหลังร้าน แต่ตอนนี้ธุรกิจเหล่านั้นตายสนิท

“พี่เป็นดีเจหรอคะ? แผ่นเสียงเต็มร้านเลย” หญิงสาวเว้นวรรคหายใจ แล้วพูดต่อ

“โดนัทสีดำ พี่ว่าเหมือนมั้ย?” ชายหนุ่มยิ้มแห้งและส่ายหัว เดินกลับมาที่โต๊ะ ดื่มโคล่าโซดา

“พี่ไม่เคยเรียกตัวเองว่าดีเจนะ พี่แค่ชอบฟัง ชอบเปิด ชอบเล่นแผ่นเสียง ส่วนเรื่องโดนัทสีดำนั้น ถ้ามีโดนัทขนาดนี้ คงถือลำบาก และกินไม่อิ่มแน่” ผมตอบสองคำถามในคำตอบเดียว

“เห็นมั้ยบลู ไม่มีใครทำโดนัทอันเท่านี้หรอก ว่าแต่ โคล่าพี่ทำเองหรือครับ?” ผมพยักหน้า

“โคตรคราฟต์เลยครับพี่ อร่อยมากคร้าฟฟฟ” ชายหนุ่มซดโคล่าหมดแก้ว

“ปัญญาอ่อนว่ะเชน เล่นคำบ้าบอ แต่พิซซ่าอร่อยมากค่ะพี่”

“ทำเองครับผม ดีใจที่ชอบนะ ทั้งพิซซ่าและโคล่า” ชายหนุ่มเช็ดปากด้วยหลังมือ เรอออกมาเอิ๊กใหญ่

“ทุเรศ! เกรงใจพี่เขาหน่อย” แววตาเธอคมกริบ หัวคิ้วขมวด ชายหนุ่มผงกหัวขอโทษผม

“อยากลองเปลี่ยนแผ่นไหม? พี่สอนให้ ไม่ยาก” ชายหนุ่มลุกไปยืนหน้าโต๊ะสนุ้กเกอร์

“หนูกลัวจะทำแผ่นพี่เป็นรอย”

“มันไม่ได้บอบบางเหมือนแผ่นซีดี จับได้ๆ”

“หนูชอบฟังแจ๊ซ เอาแผ่นนี้ละกัน Pat Metheny”

“พวกเพลงน่าเบื่อน่ะพี่ ผมฟังทีไรง่วงทุกที” ชายหนุ่มยืนเท้าโต๊ะสนุ้กเกอร์ หาวจนตาหยี

“พี่ก็ชอบฟังแจ๊ซ วางแผ่นลงบนเครื่องเล่นสิ แล้วยกหัวเข็มขึ้น ค่อยๆ วางเข็มบนขอบนอกสุดของแผ่นนะ”

หญิงสาวทำตามที่ผมบอก เมื่อหัวเข็มสัมผัสแผ่นเสียง เสียงแกรกกรากเหมือนเดินย่ำบนถนนที่ปูด้วยใบหูกวาง เสียงสากระคายหูดังออกมา ตามด้วยเสียงกีตาร์บรรเลง เพลงแรกของหน้า A

“One Quiet Night หนูชอบเพลงนี้ ฟังบ่อยก่อนนอน”

คุณมองหญิงสาวยืนหลับตาข้างเครื่องเล่นแผ่นเสียง ขณะเสียงกีตาร์บรรเลงรายรอบเรา ใบหน้าเธอสงบ ผมม้าปรกหน้าไม่ไหวติง เหมือนผ้าที่ตากไว้ในวันที่สายลมลาพักร้อน

ผมรู้สึกว่าใบหน้าเธอผุดผ่องและน่าเลื่อมใส เหมือนช่วงเวลาของพระพุทธเจ้าก่อนจะนิพพาน

 

“บ้าเอ๊ย!” เธอลืมตาและเบ้ปากเมื่อได้ยินเสียงลูกบิลเลียดกระทบกัน

“เล่นเบาๆ หน่อยได้ไหมเชน เพลงกำลังได้ฟีล” เธอตวาดเสียงลั่น

“ร้านพี่นี่แปลกแท้ มีทั้งแผ่นเสียง พิซซ่า โต๊ะสนุ้กเกอร์ แต่ทำไมพี่ไม่ขายเบียร์นะ ขอเบียร์คราฟต์ด้วยนะคร้าบบบพี่ครับ”

“ถ้าร้านไม่อยู่หน้าโรงเรียน พี่คงได้เปิดบาร์เหล้าสมใจ” ผมเริ่มรำคาญการเล่นคำของชายหนุ่ม

“แสดงว่าตอนนี้เป็นบาร์ปลอมๆ ใช่มั้ยคะ” หญิงสาวอมยิ้ม ลักยิ้มเธอเหมือนรอยบุ๋มของนิ้วเท้าที่จมลงไปบนหาดทราย

“แล้วแต่จะเรียกนะพี่ว่า กินพิซซ่ากันได้แล้ว เดี๋ยวเย็นชืดหมด” แล้วผมก็ขอตัวไปล้างจานต่อ

“พิซซ่าโคตรหร่อย เสียดายไม่มีเนื้อ บลูคิดดีแล้วเหรอที่จะเลิกกินเนื้อ?”

“ช่าย เราอยากช่วยชีวิตสัตว์โลก และมันดีต่อร่างกายเรา”

“เป็นพวกฟรีแลนซ์อ่ะเหรอ” เสียงเคี้ยวหยับๆ ไล่หลังตามมา

“วีแกนโว้ย! ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ อย่าปัญญาอ่อน”

“แทงนุกกันป่ะ ใครแพ้เลี้ยงพิซซ่าพรุ่งนี้ เคไหม?”

“ป้ายร้านพี่เขาก็เขียนอยู่ แกก็แหกตาดูบ้าง”

“ห้ามเล่นการพนันในร้าน แสดงว่าเล่นนอกร้านได้ใช่ไหมพี่?” คุณหันกลับไปยิ้มให้ และในใจอุทาน

“กวนตีน”

หลังจากนั้นเสียงลูกสนุ้กเกอร์ดังกระทบกับไลน์กีตาร์ของ Pat Metheny

 

ผมล้างจานเสร็จ และร่วมเป็นสักขีพยาน ถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวกดแม็กซิมั่มเบรกใส่ชายหนุ่ม จนเขาอับอายและขอตัวกลับบ้านก่อน

“น้องเล่นเก่งนะ ไปหัดมาจากไหน?”

“พ่อสอนให้ ที่บ้านเปิดโต๊ะสนุ้ก ร้านเรือใบไงพี่”

“อ๋อ น้องลูกโกต้อมใช่ไหม? ทำไมหน้าไม่เหมือนเลย”

“แม่หนูสวยน่ะพี่” เธอสะบัดผมบ๊อบ ผมนึกถึงจินตหรา พูนลาภ ขึ้นมาทันที

“พี่เคยไปเล่นบ่อย สมัยอายุเท่าเรา”

“พ่ออยากให้หนูทำร้านต่อ แต่หนูอยากไปให้พ้นๆ จากเมืองนี้”

“ทำไมล่ะ เมืองนี้ไม่ดียังไง?”

“ไม่ใช่มันไม่ดี เพียงแต่มันไม่มีอะไร หรือมันอาจจะมี แต่หนูยังไม่เห็น” เสียงถอนหายใจไล่หลังตามมา

“ตอนพี่อายุเท่าน้อง พี่ก็อยากไปจากที่นี่เหมือนกัน”

“แล้วพี่กลับมาทำไม?”

“เมืองอื่นมันมีอะไรเยอะเกินไป พี่เลยกลับมาเมืองที่ไม่มีอะไร”

“บุญโขแล้วที่เมืองนี้มีสถานีรถไฟ หากไม่มีคงติดแหง็กอยู่ที่นี่จริงๆ”

บลูบอกแล้วหยิบไม้คิว ฝนหัวคิวอย่างเบามือ แผ่วเบาเหมือนช่างไม้ที่กำลังใช้กบไสไม้บนแผ่นไม้อันล้ำค่า

“สักเกมไหมพี่? ถ้าพี่แพ้ เลี้ยงพิซซ่าหนูถาดนึง น้ำผลไม้ด้วย”

ผมชี้ไปที่ป้าย เธอหัวเราะจนตาหยี

“หนูล้อเล่น เล่นกันสักเกมนะพี่ หนูเบื่อเล่นกับพวกกาก”

 

เธอเฉือนชนะผมไม่กี่แต้ม เล่นกันจนลืมเวล่ำเวลา นอกหน้าต่างความมืดโรยตัว แสงไฟตรงข้ามมีเพียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ในป้อมยามหน้าโรงเรียน

“สองทุ่มกว่าแล้ว น้องกลับบ้านยังไงนี่ ให้พี่ไปส่งไหม?” ผมล้วงหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงยีนส์

“หนูเดินกลับเองได้ ใกล้ๆ เองพี่ ไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้แล้วผลักบานประตู

“เดี๋ยวก่อน เป็นผู้หญิงกลับบ้านค่ำมันอันตรายนะ”

“ไม่เกี่ยวกับเพศหรอกพี่ ถ้าเมืองมันดี ดึกแค่ไหนก็กลับได้” เธอยิ้มให้

“พิซซ่าหน้าเห็ดรวมนะพี่ และเสาวรสม็อคเทลแก้วหนึ่งด้วย ของฟรี” เธอยักคิ้วให้แล้วเดินออกจากร้านไป มีเพียงสายตาของผมที่ตามติดเธอไป จนเธอลับหายไปบนโค้งถนน…

ผมเจอบลูแล้วนึกถึงแฟนคนแรก เธอชื่อว่าแซนด์ดี้ ผมชอบเรียกเธอแบบไทยๆ ว่าแสนดี เราคบกันช่วงสั้นๆ ก่อนที่เธอจะย้ายไปเรียนมัธยมปลาย โรงเรียนหญิงล้วนในเมืองหลวง แล้วความสัมพันธ์ก็จบลงตรงนั้น

ผมคิดอยู่บ่อยครั้ง หากว่าเมืองนี้มีอะไร แสนดีคงไม่ต้องจากเมืองนี้ไป เมืองที่ไม่มีอะไร

บ่อยครั้งที่ได้ยินเสียงกระดิ่งประตูร้าน มีเพียงใบหน้าเดียวที่ผมภาวนา ใบหน้าที่แช่แข็งไว้ในทรงจำส่วนลึกเสมอมา คือใบหน้าของแสนดี แต่ผมไม่เคยเจอเธอเลย และได้เพียงหวังว่าจะได้พบเจอกันอีกครั้ง ในสักวัน

ผมเปิดตู้แช่ดูสต๊อกของวันพรุ่งนี้ เห็ดร่อยหรอ พรุ่งนี้คงต้องตื่นแต่เช้าไปตลาดสด ซื้อเห็ดมาเพิ่ม เพราะบลูและแฟนหนุ่มที่ชอบเล่นคำของเธอคงรอกินพิซซ่าฟรีอยู่

ผมปิดตู้แช่ แล้วนึกถึงแสนดี จำได้ว่าแสนดีชอบกินเห็ดเหมือนกัน ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะ?

 

ผมเก็บถาด จานใส่พิซซ่า แก้ว ไปกองรวมไว้ในอ่างล้างจาน ขณะเช็ดโต๊ะ ผมเหลือบเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางบนเก้าอี้ หยิบขึ้นมาดู หน้าปกสีผลเลมอน เป็นใบหน้าคนโปร่งแสงละในเงานั้นเป็นภาพทุ่งนาดูแล้วสบายตา หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า ‘ปีศาจ’ เขียนโดย เสนีย์ เสาวพงศ์

ผมนั่งอ่านหนังสือเล่มนั้นบนเก้าอี้ตัวเดิมที่บลูนั่ง อ่านจบตอนได้ยินเสียงวิทยุชุมชน เสียงรถเก็บขยะ ผมแง้มประตูเหล็กออกดู เห็นพระกำลังบิณฑบาต แสงแดดสีดอกฝ้ายคำสาดส่องใบหน้า ผมหาวจนน้ำตาไหล ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ไปตลาดสด ซื้อเห็ดและเนื้อสัตว์อย่างละนิดหน่อย

ปกติผมจะใส่รวมกันในถุงพลาสติกใบใหญ่ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าบลูเป็นวีแกน เห็ดของบลูจึงใส่แยกไว้ในกระเป๋าผ้าสีขาวสกรีนคำว่า ‘รักเรา รักโลก’

ผมหั่นเห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดออรินจิ เห็ดหูหนู และเห็ดเข็มทอง ขณะหั่นผมคิดไปถึงหนังสือที่เพิ่งอ่านจบข้ามวันข้ามคืน มีวรรคหนึ่งที่กินใจผมมาก

“ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที”

ผมชอบตัวละคร สาย สีมา มากเหลือเกิน ชอบการปะทะของคุณค่าแห่งสังคมเก่า และสังคมใหม่ วันนั้นหลังเตรียมเห็ดและทำแป้งพิซซ่าเสร็จ ผมก็เฝ้ารอ รอเวลาเลิกเรียน รอบลูมาที่ร้าน จะได้คุยเรื่องหนังสือกัน

 

“ไม่ได้นอนหรือไงพี่เมื่อคืน กรนสนั่นเชียว” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียก ผมงัวเงีย ใบหน้าแรกหลังตื่นจากภวังค์ เป็นใบหน้าของบลู

“โทษทีครับ แล้วแฟนไม่มาด้วยเหรอวันนี้?” ผมชันตัวลุกขึ้น เดินไปหลังบาร์

“เดี๋ยวนะพี่ ไอ้เชนน่ะไม่ใช่แฟนหนู แค่ญาติห่างๆ ที่ปากเสียคนนึง” น้ำเสียงบลูไม่สบอารมณ์

“อ๋อ ครับ โทษที เดี๋ยวพี่ทำพิซซ่าให้นะ”

“พิซซ่าฟรีคงอร่อยน่าดู” บลูหัวเราะ

“น้องลืมหนังสือไว้ พี่อ่านจบแล้วล่ะ”

“เป็นไงพี่ บลูชอบเล่มนี้มาก ชอบรัชนี”

“ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป” ผมใส่พิซซ่าในเตาอบ แล้วหันมายิ้มให้บลู

“แสดงว่าอ่านแล้วจริงด้วย” แววตาบลูดูแปลกใจ

“ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ผมบอกแล้วถอนหายใจ

“พี่น่าจะเปิดร้านหนังสือด้วยนะ ผนังสองข้างก็ยังว่าง เพื่อนหนูชอบอ่านหนังสือตั้งหลายคน แต่เมืองนี้ไม่ยักกะมีร้านหนังสืออิสระ”

แล้วผมนึกถึงแสนดีอีกครั้ง จำไว้ว่าเธอชอบพกหนังสือติดตัวตลอดเวลา ผมชอบแอบมองเวลาเธอนั่งอ่าน จมดิ่งในหน้ากระดาษ ใบหน้าเธอสงบ เหมือนกังหันลมเดียวดายที่เฝ้ารอสายลมแปลกหน้าสักสาย

“ลองเปิดดูพี่ เผื่อคนที่พี่ชอบ เขาจะได้แวะมาอ่านหนังสือที่ร้านพี่ โรแมนติกไหมล่ะ?”

ผมได้แต่หัวเราะ แล้วถามกลับไป

“แล้ววันนี้เชนไปไหนล่ะ?”

“ไปกับแฟนสิพี่ แฟนเขาไม่ชอบหน้าหนู คงเพราะหนูสวยกว่าแน่ๆ” บลูสะบัดผมบ๊อบแล้วยิ้มร่า

แล้วเสียงแจ้งเตือนของเตาอบก็ตัดจบบทสนทนาระหว่างเรา

บลูกินพิซซ่าหน้าเห็ดรวมและม็อคเทลเสาวรสเสร็จก็ขอกลับก่อน บอกผมว่าวันนี้การบ้านเยอะ

บลูกลับไปสักพัก ขณะผมกำลังเล่นสนุ้กเกอร์คนเดียว ผมได้รับโทรศัพท์จากลุง บอกว่ามีสัมภาระของพ่อ ที่ไม่รู้จะจัดการยังไง เป็นสิ่งของที่ไม่มีใครอยากได้ ตอนนี้กองอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านลุง ลุงไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าผมน่าจะเป็นคนที่ควรที่ได้รับมันไว้

ผมขับรถกระบะไปย่านชานเมือง บ้านลุงอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะริมทะเลสาบ ลุงชวนผมลงไปชั้นใต้ดินของบ้าน แล้วค่อยๆ รื้อผ้าที่คลุมสิ่งของเหล่านั้นออก

“พ่อเอ็งน่ะเคยอยากเป็นนักเขียน แต่ที่บ้านอยากให้เป็นตำรวจ หนังสือพวกนี้ของพ่อเอ็งทั้งนั้นแหละ สภาพยังดีเสียด้วย ลูกๆ คนอื่นไม่มีใครอยากได้กัน พวกนั้นอยากได้แต่ที่นา ทอง แล้วก็เงิน”

“ผมก็เพิ่งขายนาพ่อไป ลุงก็รู้นี่” ผมหัวเราะ

“ลุงรู้ แต่เอ็งน่าจะเอาหนังสือพวกนี้ไปวางที่ร้านนะ ทำเป็นร้านหนังสือมือสองก็ได้ วางไว้ที่บ้านลุงก็เสียดาย ไม่รู้วันไหนปลวกมันจะแห่มา เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่”

“ลุงห่วงบ้านไม้สักร้อยกว่าปีของลุงละสิ ผมรู้ทันนะ”

ลุงเอามือเกาหัว แล้วยิ้มแห้งๆ

“งั้นลุงช่วยยกใส่รถกระบะหน่อยนะครับ ผมจะขนกลับคืนนี้เลย ทั้งชั้นไม้และหนังสือเก่าพวกนี้”

ท่าทีของลุงกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระชวยอย่างเห็นได้ชัด เกือบสี่ทุ่มชั้นหนังสือไม้และกองหนังสือสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อก็มากองอยู่ที่ร้านของผม ผมเดินไปร้านทำป้ายใกล้ๆ สั่งทำป้ายเพิ่มอีกอัน เจ้าของร้านกำลังร่ำสุราได้ที่ และรับปากผมว่าจะทำให้คืนนี้เลย พรุ่งนี้เช้าได้ป้ายแน่นอน

 

“Ouranophile Bar & Bookshop”

ตอนสายของวัน เจ้าของร้านมาติดป้ายให้ผมในสภาพดวงตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อวาน ใส่รองเท้าฟองน้ำสีขาวมอมสลับข้าง เป็นผมเสียมากกว่าที่เป็นคนติดป้ายเอง เพราะดูท่าแล้วแกคงปืนบันไดขึ้นไปติดตรงชั้นสองไม่ไหว แต่แกก็ไม่วายจับบันไดเงอะๆ เงิ่นๆ จนผมเกือบตกบันได

“เป็นร้านหนังสือเข้าท่ากว่าเยอะไอ้น้อง ทำบงทำบาร์อะไร แถวนี้ขายเหล้าไม่ได้ไง”

เจ้าของร้านป้ายบอกผมแล้วขอตัวกลับร้านไปนอน

ผมยืนมองป้ายร้าน จากเมื่อก่อนที่เป็นโลโก้ก้อนเมฆ ตอนนี้มีตัวอักษรมาเพิ่ม

กลายเป็นร้านหนังสือและบาร์ท้องฟ้า

 

“เปิดร้านหนังสือเสียทีนะพี่ หนังสือดีๆ เยอะเลยนี่” บลูส่งเสียงเรียกผม ขณะผมกำลังสัปหงกอยู่หลังบาร์

“ใช่ มรดกชิ้นสุดท้ายของพ่อพี่เลยล่ะ” ผมลุกขึ้นยืนให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด

“พ่อพี่เทสต์ดีนะเนี่ย หนังสือแจ่มแมวมาก” บลูไล่นิ้วไปตามชั้นหนังสือ

“เทศน์อะไร? พ่อพี่ไม่ใช่พระเสียหน่อย” ผมงงกับคำพูด

“เทสต์ พี่ แปลว่า รสนิยม ภาษาวัยรุ่นค่ะ พี่นี่เชยชะมัด” บลูแลบลิ้นใส่

“วัยรุ่นสมัยนี้ก็แปลกเกินไป พี่ตามไม่ทัน” ผมลูบคางและหนวดเคราแก้เขิน

“เดี๋ยวเชนจะเข้ามากินพิซซ่ากับแฟน หนูว่าจะกลับละ ไม่อยากเขม้นกัน”

“เดี๋ยวสิ พี่มีหนังสือจะให้”

ผมเปิดลิ้นชัก ยื่นหนังสือเก่าให้บลู

“โห ปีศาจ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก โคตรแรร์ ให้หนูเหรอพี่” บลูตาลุกวาวและสุกสกาว

“ใช่ ถือเป็นของขวัญเรียนจบ ม.6 นะ”

“แง หนูไม่อยากไปจากเมืองนี้เลย พอมีร้านหนังสือ” บลูตอบเสียงเศร้า

“ไปเถอะ เมืองอื่นคงมีอะไรมากกว่านี้ ไว้อยากกลับก็ค่อยกลับมานะ ที่นี่เปิดเสมอ”

“ขอบคุณมากนะพี่ พี่ต้องเปิดร้านรอหนูอีกคนนะ ส่วนคนที่พี่เปิดร้านรอเขา ขอให้เขามาไวๆ นะ” บลูผลักบานประตูออกไป แล้วหันมายิ้มให้

ผมส่งบลูกลับบ้านด้วยสายตา และคิดถึงใบหน้าของแสนดีอีกครั้ง ก่อนเสียงยียวนจะเอ่ยทักหลังจากผลักบานประตูเข้ามา

“สวัสดีครับพี่ คราฟต์โคล่าสองที่คร้าบบพรี่ ผมพาแฟนมาด้วยครับ ชื่อแซนด์ดี้”

เชนยกมือไหว้ผม และหญิงสาวผมยาวมัดรวบไว้ด้วยโบขาว ปลายจมูกเชิด ผิวสีน้ำผึ้งชันโรง แววตาเป็นมิตรยกมือไหว้ผม

ผมรับไหว้ และตอนนี้ก็ยังคิดถึงแสนดีอยู่

“ไม่ได้มาสองสามวัน กลายเป็นร้านหนังสือเสียแล้ว ต้องซื้อไปอ่านถ่ายรูปเท่ๆ บ้างละพี่”

“ถ้าเชนอยากเท่ เชนก็ควรจะอ่านเนื้อหาข้างในด้วยนะ” หญิงสาวพูดแล้วหัวเราะ

“ให้แซนด์ดี้อ่านให้ฟังดีกว่า เราชอบอ่านหนังสือในใจ เลยคิดนอกใจไม่เป็น” เชนพูดจบแล้วยืนเท้าเอว

ความเงียบของมุขแป้กปกคลุมร้าน ผมกลับหลังหันไปผสมคราฟต์โคล่า ส่วนแฟนของเชนหันหน้าเข้าหาชั้นหนังสือ มีเพียงเชนที่ยังยืนยิ้มอยู่คนเดียว

แฟนของเชนสั่งพิซซ่าหน้าเห็ดรวม ในขณะที่เชนบอกว่าอยากกินหน้าเปบเปอร์โรนี แต่สุดท้ายเชนก็ยอม เพราะเธอบอกว่าคืนนี้จะไปเที่ยวตลาดโต้รุ่งด้วยกัน

ผมหยิบเห็ดออกจากตู้แช่ ปิดตู้แช่ แล้วนึกถึงแสนดี จำได้ว่าแสนดีชอบกินเห็ดเหมือนกัน ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะ? •