ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมา 20 ปี ผมต้องกลับมาติดตามข่าวเรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” อีกจนได้
เดิมแกบอกว่าจะกลับมาเลี้ยงหลาน แต่ดูไปดูมาแกน่าจะกำลังช่วยสร้างนายกรัฐมนตรีทั้งคนปัจจุบันและคนต่อไปด้วย
จริงไม่จริงไม่มีใครสามารถยืนยันหรือปฏิเสธได้
เพราะสังคมการเมืองไทยเป็นโลกพิศวงที่สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง
ส่วนสิ่งที่เป็นจริงนั้นเรามักจะมองไม่เห็น
ที่มหัศจรรย์กว่านั้นก็คือข่าวซุบซิบในแวดวงสภากาแฟนั้นมักจะเป็นจริงในท้ายที่สุด
สอดคล้องกับความเป็นจริงแห่งสังคมไทยวันนี้ว่า
ข่าวลือก็คือข่าวจริงที่มาก่อนเวลาเท่านั้นเอง
จึงทำให้การวิเคราะห์การเมืองไทยเป็นศิลป์ผสมผสานระหว่างข่าวลือ ข่าวปล่อย และข่าวคาดการณ์อย่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
สังเกตไหมว่าน้อยคนจะเอาจริงเอาจังกับถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการของนักการเมือง
หรือถ้าหากจะพิจารณาคำชี้แจงทางการของเหล่าบรรดานักเลือกตั้งก็เพียงแค่ช่วยให้สรุปได้ว่า
ความจริงจะอยู่ตรงกันข้ามกับถ้อยแถลงของนักการเมืองเสมอ
นั่นก็เป็นเทคนิคการแสวงหาข้อเท็จจริงของคนไทย
นั่นคืออย่าเชื่อสิ่งที่เขาบอก ให้ฟังที่เขาเล่าลับหลังโดยเฉพาะที่เขากระซิบว่า “อย่าไปบอกใคร”
เรื่องที่กำลังเล่าขานกันบนโต๊ะอาหารช่วงนี้ที่ไม่เป็นข่าวและไม่มีใครพูดถึงอย่างเป็นทางการก็คืออีกไม่นาน “ทักษิณ” ก็จะพ้นโทษแล้ว
“ไม่นาน” นี้คือกี่วันกี่สัปดาห์กี่เดือนไม่มีใครบอกได้
แต่ถ้าฟังหลายๆ “แหล่งข่าวที่อ้างชื่อไม่ได้” ก็พอจะสรุปได้ว่าไม่น่าจะเกินกุมภาพันธ์ปีหน้า
จริงไม่จริงก็ไม่มีใครรู้อีก
ที่แน่ๆ ก็คือว่าการคาดเดาอย่างนี้ไม่ได้เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ
หากแต่อยู่บนพื้นฐานของการประเมินโอกาสสำคัญของประเทศที่จะมีขึ้นทั้งในเดือนธันวาคมนี้และกุมภาพันธ์ปีหน้า
อีกช่วงจังหวะหนึ่งที่นัก “วิแคะ” (สหายคู่ใจของนักวิเคราะห์) หมายตาเอาไว้คือเดือนพฤษภาคมปีหน้า
อันเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกวุฒิสภาจะหมดสิทธิในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
จึงเกิด “ฉากทัศน์” ทางการเมืองอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมายหลายฉาก
หากเป็นเพียงละครซีรีส์ก็คงจะสนุกสนานกับ “ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด” ทั้งหลายทั้งปวงที่นักซุบซิบการเมืองของประเทศนี้จะพึงจินตนาการกันไปอย่างหลากทิศหลายทางได้
แต่นี่คือ “ความเป็นจริงแห่งชีวิต” ของไทยทั้งประเทศที่กำลังจะต้องเผชิญและไม่มีใครบอกได้ว่าอนาคตของการเมืองแห่งฉากทัศน์ต่างๆ อันอุดมไปด้วยสีสันตระการตานั้นจะนำไปสู่สภาพเช่นไรสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไป
เพราะภาพใหญ่คือการเมืองไทยผ่านมาหลายสิบปีก็ยังวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิมที่ไม่ยอมลงจากเวที
หรือแม้จะหลบไปหลังฉาก แต่ก็ยังพยายามจะกำกับการแสดงอย่างต่อเนื่องโดยไม่ตระหนักว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงสู่อีกภพหนึ่งที่การเมืองแบบเก่าไม่เป็นที่ปรารถนาอีกต่อไปแล้ว
ฉากทัศน์ที่กำลังซุบซิบกันจนสร้างความฮือฮาอย่างมากก็คือว่าเมื่อ “ทักษิณ” พ้นโทษในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างไร
เกือบจะไม่มีใครในวงกาแฟเชื่อว่าแกจะกลับไปเลี้ยงหลานจริงๆ
คนที่ผ่านการเมืองมานานกว่าเพื่อนในวงเสวนานั้นฟันธงทันทีว่า
เมื่อทักษิณพ้นโทษ ออกจากชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจกลับไป “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แล้ว รัฐบาลก็จะมี “ศูนย์แห่งอำนาจ” 3 แห่งพร้อมๆ กัน
นั่นคือ 1.บ้านจันทร์ส่องหล้า 2.ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และ 3.ทำเนียบรัฐบาล
โดยเรียงลำดับความสำคัญตามนี้เสียด้วย
“ฉากทัศน์” ที่ว่านี้มีอธิบายจาก “กูรู้ประจำวงกาแฟ” นี้ว่าเมื่อทักษิณพ้นโทษ ไม่ว่าแกจะประกาศว่าบทบาทแกจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครเชื่อแก
ความหมายคือแกจะพูดอะไรหรือ “แพทองธาร ชินวัตร” หรือคนใกล้ชิดจะพูดอย่างไร คนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องเชื่อว่าทักษิณจะกลายเป็นผู้มีอำนาจทางการสูงสุดของรัฐบาล
ใครต่อใครก็จะวิ่งไปหาทักษิณ
ใครต่อใครที่ว่านี้อาจจะเป็นทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
รวมไปถึงนักธุรกิจน้อยใหญ่ที่เป็น “นกรู้” ว่าใครคือบุคคลผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางของรัฐบาล
นักข่าวทุกสำนักก็จะตั้งทีมนักข่าวประจำสายทักษิณเป็นการเฉพาะ
ตระกูลชินวัตรก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางจักรวาลการเมืองของประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง
และไม่เพียงแต่คนไทยในวงการต่างๆ เท่านั้นที่จะหาทางไปแสดงความใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ (จะไม่มีใครเอ่ยถึงความเป็นอดีตนักโทษอีก) แต่คนต่างชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน นักการทูต นักวิชาการก็จะพยายามติดต่อไปขอพบ
เพราะพวกเขาก็ย่อมจะได้รับรู้จากเพื่อนคนไทยว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว Know who ย่อมสำคัญกว่า Know how
แต่หากการจราจรไปบ้านจันทร์ส่องหล้า (หรือคอนโดฯ ในเมืองที่ไหนที่ถูกวางเป็นศูนย์ปฏิบัติการของทักษิณ) เกิดติดขัดเพราะหนาแน่นเกินเหตุ ก็จะถูกแบ่งกระจายไปที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย
เพราะที่นั่นหัวหน้าพรรคชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่ไม่ใช่เพียงแค่ลูกสาวของอดีตนายกฯ แต่เป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล
และเป็นทั้งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
ไม่แต่เท่านั้น คนไทยจำนวนไม่น้อย (รวมทั้งสมาชิกของวงกาแฟนี้) เชื่อว่า “แพทองธาร” คือนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
เพราะหลายคนไม่ขำที่ “เศรษฐา ทวีสิน” เคยล้อเล่น (แต่น่ากลัวว่าจะจริง) กับนักข่าวว่า
“จะเอานายกฯ คนไหน นายกฯ มีสองคน”
แม้ “เศรษฐา” จะยืนยันมั่นเหมาะในเวลาต่อมาว่าไม่เป็น “หุ่นเชิด” ของใคร ก็ไม่ได้ทำให้นักข่าวต้องกลับไปทบทวนวิธีตั้งคำถามนายกฯ ในวันข้างหน้า
แต่นักวิแคะบางคนบอกว่าความจริงเราอาจจะมีนายกฯ มากกว่าสองคนแล้วด้วยซ้ำไป
หากจะนับคนที่วงการการเมืองเชื่อว่าเป็นคนสั่งการจากทั้งข้างหน้าและข้างหลังรัฐบาลได้วันนี้ก็อาจจะมีถึง 3 หรือไม่ก็ 4 คน
พอเอ่ยถึงคนที่ 4 วงซุบซิบก็ทำท่าจะเกิดอาการกระตุกอย่างแรง เพราะนั่นหมายความว่าจะต้องมีการส่งหน่วยสอดแนมออกหาข่าวเชิงลึกมาต่อยอดแล้ว
เพราะต้องปักหมุดนายกฯ คนที่อยู่ทำเนียบรัฐบาลให้ชัดเจนเสียก่อน
ฉากทัศน์ที่ว่านี้จึงกำหนดให้ทักษิณและแพทองธารเป็น “ศูนย์แห่งอำนาจรัฐบาล” ใหม่จากนี้ไป
และ “เศรษฐา” จะเป็นนายกฯ ทางการนั่งที่ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งก็จะปรากฏเป็นข่าวประจำวันในฐานะเป็น “ซีนทางการ” ที่จำเป็นต้องมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างเป็นทางการ
แต่นักประเมินสถานการณ์การเมืองไทยก็เสนอความเห็นเพิ่มเติมว่าข้อปลอบใจประการหนึ่งก็คือ “เศรษฐา” จะสบายขึ้น เพราะหน้าที่การงานจะเบาลงไปมาก
โดยเฉพาะเรื่องยากๆ ที่ต้องตัดสินใจลำบากเพราะมีการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันเป็นพัลวันนั้นก็จะไม่อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลอีกต่อไป
ในเมื่อ “เศรษฐา” เป็น “นายกฯ ป้ายแดง”
ก็อาจจะมีคนแอบซุบซิบว่า “แพทองธาร” ก็น่าจะเป็น “นายกฯ อินเทิร์น (ฝึกงาน)”
พลันที่ระเบิดลงเช่นนี้ วงกาแฟก็มีอันต้องแตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022