ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
สําหรับชาวยุค “สังคมเรียจ” พนมเปญเปลี่ยนไปมาก จนยากจะรำลึกถึงสมัยปีสังคมนิยม หรือสีหนุราช ผู้ทรงสร้างความทรงจำอะไรไว้มากมาย หมายจะให้เป็นถาวรวัตถุแห่งความทรงจำตลอด “ห้าทศวรรษ” ที่ผ่านมา
ทรงเป็นเสมือนสถาปนิกนักสร้างที่ล้ำนำสมัย แต่แล้วเกือบทั้งหมดที่ทำไว้ แทบไม่เหลืออะไรให้จดจำ?
เรามาเริ่มกันจากใจกลางกรุงพนมเปญ จนออกไปรอบนอกของเส้นทางสู่สนามบินโปเชนตง
พลัน แนวสถาปัตยกรรมแบบสกุลโมลีวัณณ์ ก็ปรากฏด้วยจำนวนอาคารชุดที่พักของสำนัก “คุรุศิลป์” ซึ่งถือเป็นบุคลากรสำคัญของชาติ และนั่นทำให้รัฐได้สร้างที่พักไว้ชานเมืองแก่ครูบาอาจารย์สมัยเมื่อ 60 ปีก่อน ซึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยพนมเปญ
อพาร์ตเมนต์ทันสมัยแห่งนี้ มีขนาด 4 ชั้น ลักษณะโอ่โถงและกว้างขวาง ซึ่งฉันเคยสำรวจมาแล้วตอนไปเยี่ยมเยียน ดร.ลอง เสียม
แม้จะปลูกสร้างมานานแล้ว แต่สภาพห้องหับ ทิศทางลมการถ่ายเท ยังคงน่าพักอาศัย ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ารัฐได้โละขายทิ้งไปหมดหรือยัง?
และถนนโปเชนตงนี่แหละ ยังมีวิทยาลัยฝึกหัดครู (Teachers’ Training College) อีกแห่ง ปลูกสร้างโดยฝรั่งเศสเริ่มจากปี 1969 ปัจจุบัน ที่นี่คือศูนย์ภาษาต่างประเทศของมหาวิทยาพนมเปญ สถาบันที่สร้างนักคิด นักเขียนและนักการศึกษาจำนวนมาก
นี่คือ กลุ่มอาคารการศึกษา ที่ทำให้พนมเปญกลายเป็นนครเฉิดฉาย มีผังเมืองวิไลที่ใครต่างพากันจดจำ
อาทิ ในปี ค.ศ.1958 เคยมีอาคาร 3 ชั้นของเอกชนคือนายพลโง ฮู สร้างไว้ให้ยูซิส (United States Information Service) มาเช่าเป็นสำนักงาน และโรงพยาบาลเด็กแห่งแรกของพนมเปญ “กันฐบุปผา” (1959) สถานพยาบาลที่เหล่าอาสาสมัครนักการแพทย์นานาชาติพากันเทใจบูรณะ
อาทิ ดร.บีต ริชเนอร์ ผู้ชุบชีวิตศูนย์ช่วยเหลือเด็กเล็กที่เจ็บป่วยและยากไร้แห่งนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
กันฐบุปผาได้กลายเป็นแรงดึงดูดของบรรดาชนชั้นอีลิตที่ปรารถนาจะหาทุนบริจาค รวมทั้งการสร้างวัฒนธรรมการเสพงานแสดงชั้นสูงทั้งดนตรีและศิลปะแขนงต่างๆ ซึ่งธรรมเนียมนี้เหมือนจะทำไว้โดยเจ้าหญิงนโรดม รัตนาเทวี และมารดาเจ้าหญิงนโรดม มารีรณฤทธิ์ พระเจ้าหลานและสุนิสาในอดีตพระบรมรัตนโกศซึ่งเสด็จสวรรคตไปเมื่อ 11 ปีก่อน
และต่อมาระยะหนึ่ง โลกจุมเตียวฮุน มานา บุตรีสมเด็จฮุน เซน ก็ดำเนินรอยตาม
ราวปี ค.ศ.1960 นั้นเอง รัฐบาลนโรดมสีหนุถือกำเนิดองค์การโทรศัพท์ ณ ไปรษณีย์กลางที่โอ่อ่าและสร้างโดยรัฐบาลฝรั่งเศสอินโดจีน
พระบาทสีหนุ ก็ไม่น้อยหน้า ทรงวางระบบโทรศัพท์ให้บริการจำนวน 2,000 คู่สายในปี 1960 นับเป็นครั้งแรกที่พนมเปญมีความก้าวหน้าด้านโทรคมนาคม
แต่ที่เชิดหน้าชูตากรุงพนมเปญ กลับกลายเป็นโรงภาพยนตร์!
โรงภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาอย่างโอฬาริกในปี 1964 คือ “แคปปิตอล” ที่ถูกเขมรแดงทำลายว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่ารังเกียจ ทว่า เมื่อองค์สีหนุและเจ้าของทรัพย์สินได้กลับมายังประเทศนี้อีกครั้ง แคปปิตอลก็ถูกไฟไหม้ แม้จะได้รับการบูรณาการอย่างไร ทว่าปัจจุบัน ไม่หลงเหลืออะไรในความโอฬารแห่งอดีตอีกเลย
จะมีก็แต่อาคารสภารัฐมนตรีบนถนนโปเชนตง (1962) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ เขตตวลโกก (1966) และกระทรวงการคลังแห่งใหม่บนถนนโปเชนตง กรุงพนมเปญ (1967) และโครงการก่อสร้างอาคารสภาสมัชชาแห่งชาติ (1969)
ล้วนแต่เป็นงานสร้างที่หมายจะพัฒนาเขตพนมเปญทไม ศูนย์ราชการแห่งใหม่ในทศวรรษที่’60 บริเวณรอยต่อของสนามบินโปเชนตงและตากะสัง ซึ่งปัจจุบันเป็นกองงานพาสปอร์ตและตรวจคนเข้าเมือง
ทีนี้เรามาดูงานสร้างในเขตหัวเมืองกันบ้าง ในห้วง 60 ปีก่อน ขณะที่กำปงโสมหรือสีหนุวิลล์ ยังเป็นแค่หัวเมืองชายทะเล และในปี 1962 นั้น เพิ่งจะสร้างโบสถ์โรมันคาทอลิกแห่งใหม่ที่สวยงาม ทว่า ไม่มีให้เห็นแล้วในวันนี้
ปัจจุบันสีหนุวิลล์เต็มไปด้วยตึกร้างนับพันแห่งๆ ที่เข้าข่ายได้ชื่อว่าตึกผี! อาเคียโขมด!
และสีหนุวิลล์ก็กลายเป็นเมืองแห่งตึกรามที่สร้างไม่สำเร็จจำนวนนับพันนับหมื่นยูนิต!
เช่นกัน ข้ามไปที่เมืองเสียมเรียบ ในปี 1963 เสียมเรียบเพิ่งจะมีแอร์พอร์ตแห่งใหม่ ไม่นานนักก็ถูกเขมรแดงถล่มทำลาย
ปัจจุบัน เสียมเรียบมีสนามบินแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ ในปีนี้ เป็นที่กล่าวขวัญในความโอ่โถงทันสมัย รวมทั้งบริษัทจัดการดูแลที่มาจากปักกิ่ง
ในปี 1966 เอกชนชาวฝรั่งเศสได้สร้างโรงงานผลิตเบียร์แห่งหนึ่งที่สีหนุวิลล์ ชื่อ SKD ในปีถัดมา รัฐบาลสีหนุราชก็ได้ไปสร้างสำนักงานธนาคารแห่งชาติขึ้นที่นี่ ไม่เท่านั้น รัฐยังสร้างอพาร์ตเมนต์ที่พักขนาด 24 ห้อง โมเดลแบบเดียวกับที่กรุงพนมเปญ (1967-1968) นัยว่าเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการไปทำงานที่นั่น
สำหรับจังหวัดพระตะบอง ก็สร้างโรงงานทำกะปอเจาขึ้นที่ตำบลโดนเตียว (1967)
ก่อนหน้านั้น ทรงโปรดให้สร้างบ้านพักตากอากาศที่เมืองกราสส์ของฝรั่งเศสเพื่อเป็นเรือนรับรองของประมุขแห่งรัฐ/1962 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการสร้างสถานทูตกัมพูชาประจำนครไซ่ง่อนของเวียดนามใต้
ไม่เพียงเท่านั้น
บรรดาเอกอุดมนักการเมืองสมัยนั้นซึ่งเทียบกับยุคนี้คือระดับออกญา ยังสร้างวิลล่าสมัยใหม่ที่ดึงดูดใจชาวเขมรถึงความโอ่อ่านั้น เช่น วิลล่าของเอกอุดมเทพฮุนซึ่งทุบทิ้งไปแล้ว วิลล่า ดร.เส็ง โสพน ย่านถนนบลูเลอวาร์ดนโรดม ปัจจุบันคืออาคารการบิน และวิลล่าสมเด็จเป็ญนุจ (1966)
อาคารเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกยึดไปในระบอบเฮงสัมริน (1979-1991)
สําหรับสิ่งปลูกสร้างวิลล่าหรือพระตำหนักต่างๆ ของสมาชิกในราชสำนัก อาทิ พระตำหนักส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระสุรมฤตกระมหากษัตริย์, ตำหนักพระองค์เจ้าหญิงรัศมีโสภนา (1965) บนถนนโสธีรส ริมแม่น้ำจัตุรมุขแห่งกรุงพนมเปญ (1962)
ส่วนวิลล่าหรือบ้านพักส่วนตัวของนายวัณณ์ โมลีวัณณ์ ที่สร้างในปี 1966 ปัจจุบันแม้จะได้คืนจากรัฐบาลฮุน เซน ที่ยึดไว้ยืดเยื้อ และทำให้วิลล่าแห่งนี้คับแคบ พื้นที่เล็กเรียวไปมาก ซึ่งอดีตเป็นสำนักงานโมลีวัณณ์สถาปนิก
ปัจจุบันสมาชิกตระกูลวัณณ์ได้เปิดให้เป็นแหล่งศึกษาสถาปัตยกรรมยุคสีหนุราช ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญต่อกัมพูชายุคหนึ่ง
ท่านวัณณ์ โมลีวัณณ์ ซึ่งลาโลกไปแล้ว ยังมีเรือนไม้ชาเลย์หัวเมืองตากอากาศที่คีรีรมย์ (1962) ปัจจุบันถูกทุบทิ้งทำลายไปแล้ว และเรือนไม้สุดท้ายคือบ้านเขมรหนึ่งห้องนอนที่เรียบง่ายสำหรับตนเองเป็นเรือนตาย
นี่คือโปรเจ็กต์สุดท้ายของอดีตสถาปนิกกัมพูชาแห่งทศวรรษที่’60 ซึ่งเป็นยุคที่เขาได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ไว้มากมาย รวมทั้งโปรเจ็กต์ที่ต้องล้มไปกลางคันอีกจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้น เป็นไปตามประสงค์ของผู้อำนวยการคือสมเด็จนโรดม สีหนุ แต่ไม่สำเร็จ
อาทิ โครงการพัฒนาอาคารรอบๆ สปอร์ตคอมเพล็กซ์/โอลิมปิกสเตเดี้ยมจากพื้นที่ทั้งหมด 250 ไร่ แบ่งเป็นไซต์งานต่างๆ รอบๆ บริเวณโอบล้อมเขื่อนขนาดใหญ่ใจกลางกรุงที่บรรจุมนุษย์ราวแปดหมื่นคน
โครงการพัฒนาที่ดินบริเวณเขตบาสัก อันเชื่อมต่อนโรดมบลูเลอวาร์ด จากอนุสาวรีย์วิเมียนเอกราชไปจนจรดปากแม่น้ำจัตุรมุข (1959-1964)
และเป็นได้แค่กัมพูชายุคสีหนุราช และพนมเปญในฝันตามระบอบ “สังคมเรียจ” ที่มีความหมาย 2 คำรบ กล่าวคือ ระบอบกษัตริย์ (ที่) ราษฎรนิยม ทว่า แม้จะมากมายไปด้วยวัตถุสิ่งปลูกสร้างโอฬาริก แต่เพียง 15 ปีแห่งการก่อสร้าง (1955-1970) ระบอบดังกล่าวกลับล่มสลายโดยง่าย
ขณะเดียวกัน ตลอดเวลาของการนำพาประเทศ พระองค์เจ้ากลับพยายามจะทำลายว่าด้วย “รัฐธรรมนูญ” แห่งการปกครองทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดอ่อนเดียวที่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยง
และ “จุดอ่อน” นี้เองที่กลายเป็นบทเรียนแก่ราชวงศ์นโรดม อย่างหาที่สุดมิได้!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022