ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ในที่สุดทิศทางที่สำคัญของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ก็มีความชัดเจนมากขึ้น
แต่ความชัดเจนนี้กลับไม่เป็นผลดีเท่าไร ทั้งในมิติทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความคาดหวังต่อสังคม
เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว ความชัดเจนที่ปรากฏไม่ตรงกับทิศทางการหาเสียง ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ
1. ไม่คงสถานะความถ้วนหน้า มีการวางเงื่อนไขเพื่อกันประชากรกลุ่มหนึ่งออกไป
2. แหล่งที่มาของงบประมาณที่สำคัญมาจากการกู้เงิน
3. เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์มีการวางเงื่อนไขยิบย่อยที่ทำให้การบริโภคต่างๆ อาจไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน และมีข้อสังเกตว่าเงินส่วนนี้อาจหมุนสู่กระเป๋าเจ้าสัวในระยะเวลาไม่นาน
ในบทความนี้ จะย้อนถึงตัวนโยบายเงินโอนที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่รัฐบาลเศรษฐาสมควรเรียนรู้
ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ริเริ่มนโยบาย “เช็คช่วยชาติ” เพื่อเป็นนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในช่วงก่อนหน้านั้น เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ให้สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบประกันตนของประกันสังคม
โดยขณะนั้น รัฐบาลก็ได้รับฉายาว่า “รัฐบาลกู้สิบทิศ” แม้จะเป็นโครงการหลักหมื่นล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นโครงการระยะสั้นที่มีมูลค่าสูงในช่วงเวลานั้น
แต่ก็ปรากฏว่า เป็นนโยบายที่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสร้างความนิยมทางการเมือง
สาเหตุหนึ่งคือจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมีสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 30 ของวัยทำงาน
และการกระตุ้นทางเศรษฐกิจครั้งเดียวในเงื่อนไขที่คนปราศจากหลังพิงเชิงนโยบายในมิติอื่นๆ ก็ไม่ทำให้เกิดตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจตามที่คาดหวังได้
กรณีที่สอง คือในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงวิกฤตโควิด-19 จากปี 2563-2565 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งถูกริเริ่มมาก่อนหน้า ตามด้วยเงินเยียวยาในวิกฤตโรคระบาด หรือโครงการเราชนะ ที่ต้องมีการพิสูจน์ความลำบาก เงื่อนไขการทำงาน และมีโครงการคนละครึ่ง ไล่มาจนถึงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน สำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ได้รับเงินอุดหนุนส่วนหนึ่งกับการเดินทางท่องเที่ยวบริโภคในประเทศ
แน่นอนว่าครั้งนี้ใช้งบประมาณจากเงินกู้อีกครั้ง และเป็นปริมาณหลายแสนล้านบาท เฉียดเต็มเพดานเงินกู้
ซึ่งน่าสนใจว่า นโยบายนี้การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการรักษางานของผู้คนมีปัญหาจนเกิดภาวะ เศรษฐกิจฝืดเคืองพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อ (Stagflation)
ในช่วงปี 2565 และความนิยมของรัฐบาลก็นับว่าย่ำแย่ จนทำให้พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคะแนนความนิยมลดลงมากกว่า 50% เทียบกับปี 2562
งบประมาณมหาศาลไม่สามารถสร้างหลักประกัน ความสำเร็จทางเศรษฐกิจและความนิยมทางการเมืองได้
เมื่อพิจารณาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดตั้งรัฐบาลบนเงื่อนไขวิกฤตความชอบธรรมที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของพรรค ภายใต้คำอธิบายว่ามีความจำเป็นที่ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้องจนต้องลดทอนประเด็นจุดยืนทางการเมือง
แต่ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา นโยบายเงินโอนดิจิทัลวอลเล็ต ที่คาดหมายให้เป็นตัวนโยบายเรือธงกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่
เพราะถอนตัวจากนโยบายก็ทำไม่ได้ และการเดินหน้าดำเนินนโยบายก็กลับเต็มไปด้วยปัญหา
ในทางการเมือง การเลิกระบบถ้วนหน้าของดิจิทัลวอลเล็ต เป็นทิศทางที่มีความผิดพลาดมาก
เพราะนอกจากไม่ตรงกับแนวทางการหาเสียงแล้ว การที่นโยบายสวัสดิการใดๆ ที่ไม่ได้วางอยู่บนฐานระบบถ้วนหน้า ย่อมมีผลต่อหลักการ “ตัวทวีคูณ” ทางเศรษฐกิจ ที่เคยคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นก็จะไม่เกิดขึ้น
สาเหตุเพราะความไม่แน่นอนของตัว “สิทธิประโยชน์” และ “เงื่อนไข” อันเห็นได้จากเงื่อนไขในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ที่แม้ใช้งบประมาณมหาศาล แต่พอผูกเงื่อนไขต่างๆ ทำให้แผนหรือการรับรู้ในสิทธิประโยชน์ไม่ได้ถูกส่งตรงสู่คนจำนวนหลายกลุ่ม
ไม่นับรวมการซื้อขายสิทธิประโยชน์ที่ต้องมาตั้งกระบวนการลงโทษพิสูจน์ถูกพิสูจน์ผิดซึ่งสิ้นเปลืองเข้าไปอีก
ปัญหาเรื่องนี้ซับซ้อนขึ้น เพราะโครงการนี้ต้องเริ่มด้วยการกู้ มากกว่าการดึงงบประมาณส่วนกลางของฝ่ายความมั่นคงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
รัฐบาลผสมที่พยายามประสานหลากหลายกลุ่ม ทางเลือกที่ดูจะมีปัญหาน้อยสุดคือการดึงเงินในอนาคตที่จะไม่กระทบกับผลประโยชน์ชนชั้นนำ
แต่กลับทำให้เงื่อนไขตัวทวีคูณเศรษฐกิจมีปัญหาเพราะยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะสามารถดำเนินการได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
การที่ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขึ้นกับความแน่นอนของโครงการ ความสม่ำเสมอ หรือความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตพื้นฐาน
ซึ่งเป็นไปได้ว่าการดำเนินโครงการในลักษณะที่วางเงื่อนไขผิดจากแนวนโยบายที่เคยศึกษาไว้เบื้องต้นจะเป็นปัญหา
เพราะนโยบายนี้ขาดตกประเด็นใหญ่คือเสรีภาพในการใช้สิทธิประโยชน์ที่ผูกเงื่อนไขซับซ้อน และความถ้วนหน้า
ซึ่งทำให้คนส่วนหนึ่งไม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับนโยบาย การกันคนที่มีรายได้และเงินออมที่เกินเกณฑ์ออก สามารถประหยัดงบประมาณได้เล็กน้อย
แม้จะทดแทนด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูสับสนเข้าไปอีก
เพราะความเสียหายต่อการโจมตีนโยบาย กับการประหยัดงบประมาณลงไปนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สูญเสีย ความรู้สึกการเป็นอันหนึ่งเดียวกัน (Solidarity)
ดูแล้วไม่ต่างจากนโยบาย “เราชนะ” หรือ “คนละครึ่ง” สมัยรัฐบาลก่อนที่ล้มลุกคลุกคลานมาจนหมดสมัย
สุดท้ายนโยบายไพ่ตายกลายเป็นนโยบายหนามยอกออก กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึงจะเสียทั้งในทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ก็อาจไม่บรรลุเป้า
ถ้าเป็นแบบนี้ควรถอยโครงการนี้เลื่อนไปปีงบประมาณหน้าก็ไม่สาย
และใช้งบประมาณส่วนที่ทำได้ตอนนี้ ปรับเบี้ยผู้สูงอายุ ปรับเงินเด็กสู่ระบบถ้วนหน้า พัฒนาการศึกษา เพิ่มโอกาสคนธรรมดา แก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน
เมื่อคนมีหลังพิงที่ดี สวัสดิการมั่นคง โครงการหาเสียงขนานใหญ่เริ่มทำตอน ตุลาคม 2567 ทำตามหลักการที่หาเสียงไว้ ก็ยังไม่สายไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022