“สมรภูมิแห่งการเมือง” สู่ “สมรภูมิแห่งชีวิต” | ลึกแต่ไม่ลับ

ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ขึ้นหลังเสือได้ ต้องฉลาดพอเมื่อก้าวลงจากหลังเสือ ต้องรู้กลวิธีที่มนุษย์ธรรมดาเช่นเรา ว่าจะกระทำการเอาตัวรอดเช่นไร “ไม่ให้เสือกัด”

ก้าวย่างลงจาก “สมรภูมิแห่งการเมือง” สู่ “สมรภูมิแห่งชีวิต” อย่างสง่างาม อยู่รอดปลอดภัย “เสือไม่กัด” สบายใจเฉิบสำหรับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย

ใช้ชีวิตกับครอบครัว อบอุ่นปกติ เมื่อปลายเดือนตุลาคม “ลุงตู่” ยกคณะทั้ง “ภรรยา-คุณน้อง-นราพร จันทร์โอชา” และ “ลูกน้องพลอย-เพลิน” บินไปเปิดหูเปิดตา พร้อมเพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟออกรอบกันสนุกสนานตามอัธยาศัยที่ประเทศญี่ปุ่น โพสต์ภาพขณะทอดน่อง บอกว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีที่มีโอกาสได้เดินทางมาพักผ่อนกับครอบครัวที่ต่างประเทศ จึงนำภาพส่วนตัวมาฝาก หวังว่าจะได้ไปเที่ยวที่อื่นๆ อีก พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา-Prayut Chan-o-cha” ความว่า

“นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีที่ผมได้มีโอกาสพาครอบครัวเดินทางไปเที่ยว พักผ่อนต่างประเทศ ผมขอนำภาพส่วนตัวทริปนี้มาฝาก และหวังว่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวที่สวยงามทั้งในและนอกประเทศมีอีกมากมายครับ ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ มีโอกาสได้พบคนไทยที่เข้ามาทักทายด้วยบรรยากาศมิตรไมตรี ผมขอบคุณทุกคนเพื่อเป็นกำลังใจ และความระลึกถึงกันตลอดไปครับ”

ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วัน มีคนแพร่ภาพ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กำลังยกมือไหว้ตอบ-รับกับ “ครอบครัวชินวัตร” โดยภาพ “ลุงตู่” ใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะยกมือไหว้คนจากครอบครัว “ชินวัตร” ที่มี “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร พินทองทา ชินวัตร คุณากรณ์วงศ์ และปิฎก สุขสวัสดิ์” ระหว่างเดินทางไปชมการแสดงโขนรอบปฐมทัศน์ เรื่อง “รามเกียรติ์” ตอน กุมภกรรณทดน้ำ ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ว่ากันว่า วันพบปะกันโดยบังเอิญนั้น มี “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” ร่วมเฟรมอยู่ด้วย แต่หลุดออกจากภาพ เพราะลูกสาวและลูกเขยบังเอาไว้ ภาพเลยจับไม่ได้

ภาพที่ปรากฏระหว่าง “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “ครอบครัวชินวัตร” ถือว่าเป็นช็อตประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เพราะ “บิ๊กตู่” คือหัวหน้าคณะนายทหาร “คสช.” ที่ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจ ล้มกระดานรัฐบาลพลเรือนของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ทุบหม้อข้าว จนหลายคนต้องตุหรัดตุเหร่พเนจรไปอยู่ต่างประเทศ

เป็นครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปีแล้ว ที่เป็นศัตรู หรือคู่ต่อสู้ที่เกลียดชังกัน พร้อมที่จะห้ำหั่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง กลับมามีไมตรีญาติดีต่อกัน

ต้องยอมรับว่า จุดตาลปัตร ทำให้ลมเปลี่ยนทิศ ระหว่าง “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “ตระกูลชินวัตร” กัลยาณมิตรครั้งสำคัญน่าจะมาจากตอนที่ “รัฐสภา” ระหว่าง “สภาผู้แทนราษฎร” กับ “วุฒิสมาชิก” ลงมติเห็นชอบให้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย เข้าป้ายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ด้วยเสียงถล่มทลาย 482 เสียง

11 พรรคร่วมรวมพลกันเหนียวแน่นได้ 314 เสียงไม่แตกแถว แต่พบว่า 152 เสียงของวุฒิสมาชิกที่หันมาเทคะแนนให้ “เศรษฐา” ล้วนแล้วแต่เป็น ส.ว.สาย “บิ๊กตู่” เกินครึ่งหนึ่งจากเสียงที่ต้องการเพียง 61 เสียงอยู่มากกว่า 80 ที่นั่ง

ขณะที่ 165 เสียงที่ไม่เห็นชอบ นอกจากพรรคก้าวไกลแล้ว ลือกันแซดว่า “ส.ว.สายบ้านป่าฯ” ที่ใกล้ชิดกับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ส่วนใหญ่ลงมติ “ไม่เห็นชอบ”

 

เมื่อบรรยายสรรพคุณของ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แล้ว ต้องขยายม่านตาไปยัง “ลุงอีกคน” ที่ชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ควบคู่กันไป

“ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” รักกันปานจะกลืนดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานนมกาเลแล้วตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นอยู่ในกองทัพ ปฏิวัติ-ยึดอำนาจก็รู้เห็นเป็นใจกัน ตั้งพรรคพลังประชารัฐ ชนะศึกเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี 2562 มาด้วยกัน

เพิ่งจะมาเห็นต่างแยกกันเดิน กับศึกเลือกตั้ง 2566 โดย “พล.อ.ประยุทธ์” น้องเล็กเดินออกจากร่มเงาพรรคพลังประชารัฐ ไปร่วมก่อตั้งพรรคใหม่ที่ชื่อ “รวมไทยสร้างชาติ”

“พล.อ.ประยุทธ์” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขณะที่ “พล.อ.ประวิตร” เป็นทั้งแคนดิเดต และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 พปชร. ด้วยความรักและผูกพัน แม้จะแยกกันเดินในสมรภูมิทางการเมือง “พี่” บุกไปหา “น้อง” ตกลง “ดีลลับ” ซึ่งกันและกัน

ด้วยพันธสัญญาที่ว่า ระหว่าง “รวมไทยสร้างชาติ” กับ “พลังประชารัฐ” หากผลเลือกตั้งออกมาพรรคไหนได้รับเลือกตั้งคะแนนเสียงมากกว่ากัน พรรคนั้นได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยอัตโมมัติ

ผลเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐได้ 40 เสียง มากกว่ารวมไทยสร้างชาติที่ได้ 36 เสียง ดังนั้น ตามข้อตกลงลับ “พปชร.” ต้องได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาล และ “พล.อ.ประวิตร” ต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ “บิ๊กตู่” มองว่า เงื่อนไขไม่ชัดเจน ทั้ง 2 พรรคได้ตัวเลขประมาณการต่ำกว่าเป้ามาก “อิมพอสซิเบิล” ไม่มีน้ำยาพอที่จะเป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาลได้ จึงเป็นที่ไปที่มาให้ “ส.ว.สายตู่” หันไปเทคะแนนให้ “เศรษฐา” เข้าวินในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30

เท่ากับ “ลุงป้อม” ลำกล้องอักเสบ เลือดลมทำงานผิดปกติ หัวร้อนฉุน “น้องตู่” ไม่รักษาคำพูด ภาษาพี่ๆ น้องๆ เขาเรียกว่า “มันเบี้ยวกู”

กอปรกับเลือกตั้ง 2566 “พล.อ.ประวิตร” เมื่อตกลงกันด้วยวาจา ใครมากกว่าได้เป็นแกนนำแล้ว เกิด “ใจบันดาลแรง” มีความฮึกเหิม ทุ่มทุนสร้างหมดหน้าตัก ระดมทุนทั้งจัดโต๊ะจีน กิจกรรมสารพัด แต่เมื่อสายเลือดเกิดเหือดหาย คงคาก็แห้งเหือดตามไปด้วย “งบฯ ไม่เข้าเป้า” พวกพ่อค้าหัวหมอรับปากว่าจะซื้อโต๊ะ จองไว้แล้วไม่ยอมจ่าย เบี้ยวกันหน้าตาเฉย

การเมืองรวดเร็ว รุนแรงยิ่งกว่าลมพายุพรึบเดียว “ลุงป้อม” ถอนขนหน้าแข้ง สมบัติก้นหีบระดมมาสู้ศึกเลือกตั้งคาบนี้เกือบจะ “ล้างท่อ” กันเลยทีเดียว

ล่าสุด แม้พลังประชารัฐจะถูกดึงไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้กระทรวงใหญ่ยักษ์ 2 เก้าอี้ก็จริง แต่สำหรับ “พล.อ.ประวิตร” อารมณ์ไม่ค่อยเอ็นจอยสักเท่าไหร่ สูงต่ำใกล้ไกล ไม่ค่อยมีใครเชื่อฟังเหมือนเดิม

แถมอาทิตย์ก่อนมีข่าวคลุกวงในแจ้งว่า กองทัพมดในบ้านป่าฯ น้อยลงถนัดตา “ลุงป้อม” เดินหกล้ม คนใกล้ชิดตะครุบไม่ทัน ต้องพักฟื้นนานพอสมควร

คนแก่เมื่อเจ็บออดๆ แอดๆ อารมณ์พลอยฉุนเฉียว เข้าหน้ากันแทบไม่ติดเลยเวลานี้