วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เหตุผลสองข้อ

วางบิล
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์
เหตุผลสองข้อ

พระปานขยับตัวกระหย่งกายขึ้น แทบคะมำลง ฝืนใจประคองตัวก้มกราบ 3 ครั้ง เสร็จแล้วจะลุกขึ้น เหน็บชาที่น่องทั้งสองข้างยังไม่อนุญาตให้ลุกขึ้น ต้องนั่งลงอีกครั้ง
“ขอนั่งพักอีกเดี๋ยวก่อนครับ เหน็บกินขา” พระปานเอ่ยขึ้นพอดีกับท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสเห็นกิริยานั้น จึงออกปากเกือบพร้อบกับที่ปานพูดออกไปว่า เป็นเหน็บเรอะ
“นั่งนานๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ ต้องเปลี่ยนข้างเสียบ้าง ยังไม่เคยชิน” ท่านเจ้าคุณว่าพลางน้ำเสียงคล้ายหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พร้อมกับกดกริ่งเรียกเด็กลูกศิษย์ สั่งให้เอาน้ำร้อนมาชงน้ำชา
พระปานนั่งบีบนวดน่องสักพักจึงแข็งใจลุกขึ้น ยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณอีกครั้ง แข็งใจกระย่องกระแย่งเดินลงบันไดมาข้างล่าง ได้ยินเสียงเณรพจน์คุยกับลูกศิษย์พระ เมื่อเงยขึ้นมาเห็นพระปานลงบันไดถามว่า เสร็จแล้วหรือครับหลวงพี่
พระปานไม่ตอบ แต่บอกว่า เป็นเหน็บ ขอยืนสักพัก เกาะบ่าเณรพจน์สักครู่จึงออกเดินกลับกุฏิผ่านหน้าโบสถ์ ผ่านกุฏิพระครูพรหม เห็นพูดคุยกับใครไม่รู้ แวะเอาพานขึ้นไปส่ง ท่านพระครูร้องบอกว่าพรุ่งนี้ยังไม่ต้องออกบิณฑบาต ให้มาฉันเช้าพร้อมกันที่หอฉันเจ็ดโมงครึ่ง พระปานรับปากแล้วเดินกลับไปที่กุฏิ
ไขกุญแจหน้าห้อง เข้าไปเปิดไฟฟ้า คลี่จีวรที่หลุดลุ่ยออกพาดไว้ อยากจะลงไปอาบน้ำ แต่ยังอยากนั่งสักพักให้เหงื่อที่เริ่มซึมระหว่างเดินกลับแห้งเสียก่อน หยิบหนังสือที่ท่านเจ้าคุณให้มาพลิกอ่านไปได้เพียงสองหน้าเศษ ไม่ได้ตั้งใจอ่านจริงจัง จิตใจกลับคิดถึงจดหมายของจงจิต
เปล่า–พระปานไม่ได้หยิบจากย่ามออกมาอ่านอีกครั้งหรอก เพราะข้อความทั้งหมดนั้น อ่านเพียงครั้งเดียวจำได้เกือบหมด และที่จริง พระปานไม่ต้องการทราบเหตุผลของจงจิตอีก เพราะเธอบอกกับเขาจนหมดสิ้นแล้วก่อนหน้านี้
เขากลับคิดถึงเหตุผลที่เขียนจดหมายไปบอกจงจิต เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้ทีหลังแล้วต้องเก็บไปคิดมาก หลังจากที่ตัดสินใจบวช หลังจากแจ้งกับนางส้มจีนแล้ว บอกกับเพื่อนบางคน กระทั่งเมื่อรู้กำหนดวันที่แน่นอน คืนนั้นจึงเขียนจดหมายเล่าความทั้งหมดให้จงจิตได้รับรู้ถึงเหตุผลการบวช ด้วยเวลาเพียงไม่ถึง 10 วัน เพื่อตัวเองจะได้สบายใจด้วย
เหตุผลของจงจิตที่มีมาในจดหมาย พระปานรู้ก่อนหน้านี้แล้วในวันที่พบกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหน้าตัดสินใจบวชเพียงเดือนเศษ หลังจากนั้น ไม่ได้เขียนจดหมายถึงเธออีก

เมยที่รัก – ทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องคุณกับผมในการติดต่อกันต่อไปขอให้สิ้นสุดลงนับแต่จดหมายฉบับนี้ถึงมือคุณ หมายถึงภาวะทางใจเท่านั้น แต่ความเป็นเพื่อนที่เคยมีต่อกันอย่างไรยังเป็นไปอย่างนั้น เพราะแน่นอนว่า หลังจากผมทราบเหตุผลและความต้องการของคุณแล้ว ผมก็เป็นเพียงผู้คอยดูเหตุการณ์เท่านั้น ไม่ใช่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป
ผมตั้งใจจะเขียนจดหมายเล่าความในใจของตัวเองให้คุณฟังมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เราคุยกันครั้งสุดท้าย และคุณบอกถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับคุณเอง
ผมเข้าใจดี
ที่ผมรีรอไม่เขียนจดหมายถึงคุณอีกตั้งแต่วันนั้น เพราะเหตุหนึ่ง คือไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรเขียนจดหมายถึงคุณอีกหรือไม่
แต่วันนี้ ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
เมยครับ ผมจะบวชวันที่ 28 นี้ บ่ายสองโมง
บอกคุณกะทันหันไปหน่อย แต่จำเป็นเพราะผมเพิ่งกำหนดวันบวชเมื่อเย็นนี้เอง กับหลวงน้าที่วัด
สาเหตุที่ต้องการบวชมีสองประการ
เอาประการแรกก่อน ถึงอย่างไรชาตินี้ผมต้องบวชแน่นอน บวชให้แม่ชื่นใจและเป็นสุข ให้แม่ได้เห็นผ้าเหลือง ท่านอยากให้ผมบวชมานานแล้ว แต่ผมผัดท่านมาเรื่อย ด้วยการงานและยังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้ คิดว่ามีเวลาอีกนาน ทั้งยังไม่มีลูกไม่มีเมีย เคยบอกกับท่านว่า จะบวชก่อนแต่งงานแน่นอน
ประการที่สอง เป็นการผลักดันจากคุณ
เดือนที่ผ่านมามันทรมานใจผมเหลือเกิน แม้ผมจะเคยผ่านชีวิตมาโชกโชนเพียงใด แต่กับคุณ ผมรู้สึกว่ายิ่งตัดคุณออกจากความรู้สึกนึกคิด ก็ยิ่งชักลึกกัดกินใจเข้าไปทุกที
ความจริงผมเองเตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับทราบปัญหานี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้คุณเคยแสดงท่าทีบางอย่างให้ผมเห็น แต่ผมกลับไม่เฉลียวใจเอง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมเป็นผู้ก่อทั้งสิ้น ตั้งแต่เริ่มแรกที่ผมเข้ามามีส่วนพัวพันกับคุณ
วันนั้นเป็นงานแต่งงานเพื่อนผม คุณเป็นเพื่อนกับฝ่ายเจ้าสาวไปร่วมงานนี้ด้วย เรานั่งโต๊ะเดียวกัน บังเอิญสายตาที่มองพบกันพอดี ผมเหมือนเคยรู้จักคุณที่ไหนมาก่อน ผมพยายามหาโอกาสพูดคุยกับคุณจนงานเลิก เพื่อนผมที่ไปด้วยจึงชวนใครต่อใครรวมทั้งคุณนั่งรถไปกินข้าวต้มต่อ ตอนนั้น ผมตั้งใจนั่งใกล้คุณ ทั้งที่เริ่มเมา แต่ผมอดไม่ได้ที่จะดื่มเข้าไปอีก รู้ตัวเหมือนกันที่ทำอะไรไม่สมควร แต่คุณไม่มีทีท่ารังเกียจ คงเห็นว่าเป็นคนเมา หรือเป็นไปตามมารยาท
จนเมื่อไปส่งคุณแล้ว รุ่งเช้า เพื่อนผมจึงมาบอกความประพฤติของผมให้ทราบ อายคุณแทบแย่ แต่เมื่อคิดอีกทีหนึ่ง ผมอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าคงไม่ได้ทำอะไรซุ่มซ่ามจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคุณจะยอมให้ผมไปส่งถึงประตูบ้านหรือ
อีกสองวัน ก่อนผมจะกลับกรุงเทพฯ เรามีโอกาสได้คุยกัน เห็นไหมว่า ผมสุภาพบุรุษขึ้นแยะ
ตั้งแต่นั้นมา ผมติดต่อกับคุณตลอด โดยทีแรกก็เอาไอ้เพื่อนผมเป็นหน้าฉาก แต่อีกไม่นานต่อมา มันย้ายไปทำงานที่อื่น ผมจึงไม่ต้องใช้ใครอีก ลงมือเองเลย หมดเรื่อง
ที่ผมว่าผมเองเป็นผู้เริ่มเรื่องทั้งหมด คือหลังจากเราเริ่มเข้าใจกันและกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือรู้สึกกว่าคุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้าใจผม เรื่องไหนคุณเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรคุณจะตักเตือนผมสมกับเป็นครูอาจารย์ เรื่องไหนคุณเห็นว่าตัวเองจะทำแล้วผิดคุณปรึกษาหารือ
ไม่ใช่ผมไม่เคยรักใครมาก่อน แต่ผู้หญิงที่ผมรัก ไม่รักผม มีแต่คุณที่รับคำรักของผมและตอบรักผม