วงค์ ตาวัน : เผารถทัวร์-แนวใหม่ไฟใต้

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและบรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ กลายเป็นประเด็นข้อสงสัยต่อปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดใต้ ในเหตุการณ์จี้รถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพฯ ต้อนผู้โดยสารลงจากรถ แล้วราดน้ำมันจุดไฟเผา จนเป็นข่าวใหญ่ช่วงปลายเดือนธันวาคม

“ปกติที่ผ่านๆ มา กลุ่มก่อความไม่สงบ ไม่เคยลงมือกับรถทัวร์แบบนี้มาก่อน จึงถือเป็นรูปแบบใหม่”

แถมลงมือกลางวันแสกๆ เหตุเกิดในช่วงบ่ายของวันที่ 17 ธันวาคม ในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หลังจากรถทัวร์พร้อมผู้โดยสาร 11 คน ออกจากต้นทางคือ อ.เบตงมาได้ระยะหนึ่ง

คนร้ายนับสิบที่มีอาวุธสงครามครบมือ มีการเผายางรถยนต์ควันโขมงเพื่อเรียกรถให้หยุด ก่อนจะใช้ปืนยิงขู่ แล้วจี้ผู้โดยสาร รวมทั้งคนขับรถทัวร์และพนักงานรถให้ลงมาให้หมด

ทั้งให้หยิบกระเป๋าข้าวของลงมาด้วย เพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของชาวบ้านได้รับความเสียหาย ก่อนลงมือเผารถจนวอดทั้งคัน พร้อมทั้งตัดต้นไม้ขวางถนน โรยตะปูเรือใบ

“ปฏิบัติการครั้งนี้ ที่มีความแปลกใหม่มากมาย ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องลงไปดูเหตุการณ์ด้วยตัวเอง วางแนวทางการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด รวมทั้งคิดวิเคราะห์ถึงปมประเด็นที่ชัดเจน เพื่อวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย”

ที่แน่ๆ เนื่องจากเป็นช่วงใกล้เข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยวปีใหม่ แถมเมืองเบตงเป็นทั้งเมืองเศรษฐกิจชายแดน เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในแง่นี้น่าจะได้รับผลกระทบแน่นอน

จึงจำเป็นที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ต้องลงไปคลี่คลายสถานการณ์เอง เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้การท่องเที่ยวดำเนินต่อไปได้ ไม่สะดุดติดขัดในช่วงเทศกาลที่ใกล้จะมาถึง

รวมทั้งต้องวางมาตรการควบคุมสถานการณ์รวมทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะมีคนต่างชาติเดินทางมาร่วมสนุกสนานในช่วงส่งท้ายปีนี้ ทั้งยะลา ปัตตานี นราธิวาส รวมทั้งสงขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาดใหญ่ จะต้องมีความปลอดภัยทั่วทั้งหมด”

ดังนั้น ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าฝีมือใคร เผารถทัวร์เพื่อเป้าประสงค์อะไร มุ่งทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวหรือไม่

รวมไปทั้งประเด็นแอบแฝง เช่น กลุ่มผลประโยชน์เข้ามาพัวพัน เกี่ยวข้องกับปัญหาธุรกิจรถทัวร์หรือไม่ และโยงใยถึงความเป็นเมืองเบตงหรือไม่

แต่ด้วยความเชี่ยวชำนาญด้านงานสืบสวน ทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภาค 9 เรียกประชุมทีมงานสืบสวน วิเคราะห์พฤติกรรม วัตถุพยานต่างๆ

ทำให้พบได้อย่างรวดเร็วว่า จากปลอกกระสุนปืนตกในที่เกิดเหตุ สามารถตรวจได้ว่า ตรงกับปลอกกระสุนปืนที่ยิงจากปืนกระบอกเดียวกัน หลายกระบอก ซึ่งเป็นปืนที่มีประวัติอยู่แล้วว่า กลุ่มก่อความไม่สงบใช้ปฏิบัติการใน 3 จังหวัดใต้มาหลายเหตุการณ์แล้ว

จึงชัดเจนว่าเป็นฝีมือขบวนการไฟใต้แน่นอน ไม่น่าจะเกี่ยวกับกลุ่มผลประโยชน์อื่นแต่อย่างใด

จุดที่น่าสนใจในการสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ พบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบที่ถือปืนเข้ามายึดรถทัวร์ และต้อนผู้โดยสารลงจากรถนั้น ไม่มีพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมดุดัน การยิงปืนขู่ก็ไม่มุ่งทำอันตรายต่อใคร อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารขนกระเป๋าข้าวของลงมาให้หมด

แถมกลุ่มคนร้ายบางคน ยังไปช่วยยกกระเป๋าให้ผู้โดยสารด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีไฟใต้มามากๆ ชี้ว่า ถ้าเป็นกลุ่มอาร์เคเครุ่นเก่าๆ จะมีพฤติกรรมดุดัน มุ่งข่มขวัญและสร้างความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

ต่างจากทีมปฏิบัติการจี้และเผารถทัวร์มาก

“จึงเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นกลุ่มอาร์เคเครุ่นใหม่ ยังไม่ก่อเหตุโชกโชน จึงยังมีความนุ่มนวลอยู่!”

อีกทั้งจากการข่าวพบว่า พื้นที่บันนังสตา ระยะหลังใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนนักรบใหม่ๆ เพื่อเข้ามาทดแทนอาร์เคเครุ่นเก่าที่เริ่มโรยรา หรือเริ่มเหน็ดเหนื่อยท้อถอย

ทำให้เป็นไปได้มากว่า กลุ่มเผารถทัวร์ น่าจะเป็นเด็กฝึกใหม่ ที่เพิ่งจบหรืออยู่ระหว่างการฝึก

ปฏิบัติการที่ลงมือกับรถทัวร์ ซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการฝึกก็เป็นได้

“เป็นการทดลองปฏิบัติการของอาร์เคเคฝึกงาน อะไรทำนองนั้น!?!”

แต่ขณะเดียวกัน จากปลอกกระสุนปืนที่เชื่อมไปถึงตัวปืน ซึ่งมีชื่อคนที่ครอบครองปืนหรือใช้ปืนเหล่านี้ จะนำไปสู่การออกหมายจับ หากได้ตัวมาจะนำไปสู่การสอบปากคำ เพื่อหาประเด็นเป้าหมายที่แท้จริง ว่าเพื่อมุ่งทำลายการท่องเที่ยวปีใหม่หรือไม่

เพราะความที่ใกล้ช่วงท่องเที่ยวปีใหม่ ความที่เบตงเป็นเมืองท่องเที่ยว

จะต้องให้ความสำคัญในการป้องกันเหตุ ไม่ให้มีการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

สิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำให้ได้คือ คืนเคาต์ดาวน์ ในแหล่งท่องเที่ยวของชายแดนใต้ จะต้องสามารถจัดงานได้โดยสนุกสนานราบรื่น!

โดยภาพรวมแล้ว ในช่วงระยะหลัง เหตุการณ์รุนแรงขนาดใหญ่ในพื้นที่ไฟใต้ ลดน้อยลงไป แต่ไม่ใช่ว่าสงบจนน่าพอใจ ยังมีการก่อเหตุอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งจากการติดตามของหน่วยข่าวกรองพบว่า ขบวนการอาร์เคเค กำลังเร่งผลิตนักรบรุ่นใหม่ออกมา เพื่อมาทดแทนรุ่นเก่าๆ ที่เริ่มถอดเขี้ยวเล็บ

นั่นเท่ากับว่า สถานการณ์จะยังไม่ดำเนินไปสู่จุดจบของเหตุการณ์

“ยิ่งถ้าหากขบวนการไฟใต้ เริ่มปรับเปลี่ยนแนวทาง เช่น การก่อเหตุกับรถทัวร์โดยสาร ซึ่งเขย่าขวัญชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย ก็น่าเป็นห่วงสำหรับการรับมือปฏิบัติการใหม่ๆ เหล่านี้!?”

ก่อนหน้านี้ จะพบว่าขบวนการไฟใต้ ได้มีการพลิกแพลงรูปแบบใหม่ๆ มาแล้ว เช่น ขยายพื้นที่ก่อเหตุเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะกรณีระเบิดใหญ่ทั่ว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เมื่อสิงหาคม 2559 หลังการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญไม่นาน

พยานหลักฐานที่นำมาสู่การออกหมายจับ ก็บ่งชี้ชัดว่า ขบวนการ 3 จังหวัดใต้ขึ้นมาก่อเหตุ เพื่อแสดงการต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ เนื่องจากในหมวดว่าด้วยศาสนา มีการใช้ถ้อยความที่ต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับเดิมๆ อันกระทบต่อความรู้สึกของชาวมุสลิม

จึงแสดงออกโดยชาวบ้านใน 3 จังหวัดใต้ ลงมติไม่รับรัฐธรรมนูญเป็นเสียงส่วนใหญ่

“การขึ้นมาก่อเหตุ ระเบิดพร้อมๆ กันทั่ว 7 จังหวัดใต้ตอนบน ก็เป็นปฏิบัติการที่ต่อต้านรัฐธรรมนูญด้วย โดยวิธีการแบบกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง!”

สิ่งที่รองรับประเด็นนี้ชัดเจนคือ หลงจากนั้นไม่กี่วัน ได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2559 โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขเพิ่มเติมบางประเด็นในเรื่องศาสนา เพื่อแก้ไขความไม่พอใจในตัวรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านประชามติ

แต่คน 3 จังหวัดใต้มีมติไม่รับ

“นี่คือเครื่องยืนยันว่า การระเบิดทั่ว 7 จังหวัดใต้ตอนบนมาจากอะไร!?”

ขณะเดียวกัน ทำให้หน่วยความมั่นคงต้องคิดวิเคราะห์อย่างหนักถึงการขยายพื้นที่ก่อเหตุนอกเหนือจาก 3 จังหวัด

เมื่อมาถึงเหตุเผารถทัวร์ล่าสุด ก็เป็นอีกรูปแบบใหม่อีก

เท่ากับว่า จะมองเพียงเหตุความไม่สงบแบบเดิมๆ ในพื้นที่จังหวัดเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว

เหนืออื่นใด ตราบใดที่สถานการณ์ไฟใต้ยังคงยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ย่อมเป็นคำถามถึงนโยบายของรัฐบาลว่า จะแก้ปัญหาได้ถึงต้นตอ จนสงบลงได้อย่างแท้จริงเมื่อไร

ความเป็นรัฐบาลทหารทำให้นโยบายการดับไฟใต้ จึงเน้นปฏิบัติการด้านทหาร เน้นด้านความมั่นคง มากกว่าการใช้การเมืองและสันติวิธีเข้าดับไฟหรือไม่

เพราะถ้ายังมีเสียงปืนเสียงระเบิด ก็หมายถึงการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และชาวบ้าน อย่างน่าเศร้าสลดต่อไป