เมื่อกวีปรากฏตัว | เรื่องสั้น : ทรงวุฒิ อินเรือง

เรื่องสั้น | ทรงวุฒิ อินเรือง

เมื่อกวีปรากฏตัว

 

ผมเจอเขาครั้งแรกที่หน้าประตูหอศิลป์ร่วมสมัย-ราชดำเนิน เขาเป็นเด็กหนุ่ม อายุน่าจะราวยี่สิบต้นๆ ผมเผ้าหวีเรียบแปล้ เสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็กส์กีบโง้ง รองเท้าหนังสีดำวาววับ เขาเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย แล้วรบกวนให้ช่วยเซ็นชื่อลงบนปกรวมบทกวีเล่มล่าสุดของผม หลังส่งหนังสือคืนให้เขา ผมก็เดินเข้าไปในงานรับรางวัลศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัลหนึ่ง ผมเป็นหนึ่งในเจ็ดท่านที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลในปีนี้ มีเพื่อนกวีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมาร่วมแสดงความยินดีหลายสิบคน ขณะเดินชมประวัติและภาพแสดงผลงานของตนเองที่ผ่านมาทั้งหมดยี่สิบกว่าเล่ม ผมเห็นเขาเดินขอถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วงาน

หลังจากนั้นหลายเดือนจนผมลืมเขาไปแล้ว เขาส่งข้อความมาทางช่องแชตกลางดึก ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับเขาตั้งแต่เมื่อไร เขาบอกว่าเพิ่งเขียนบทกวีจบหนึ่งชิ้น อยากให้ผมช่วยอ่าน จากนั้นก็พูดถึงหนังสือของผมหลายเล่มว่าเป็นแรงบันดาลใจให้มาเขียนบทกวี ผมไม่ตอบอะไรกลับไป สักพักเขาก็ขอตัวไปเขียนบทกวีต่อ เขาติดต่ออย่างนั้นมาอีกหลายครั้ง เห็นผมไม่ค่อยตอบอะไรเขาคงเกรงใจ ช่วงหลังนานๆ จึงติดต่อมาสักครั้ง ทุกครั้งที่เขาบ่นท้อถอยเกี่ยวกับการเขียน ส่งบทกวีไปพิจารณา ไปประกวดที่ไหนก็ไม่ผ่านเลยสักครั้ง ผมให้กำลังใจกลับไปเสมอว่าให้สู้ๆ เขาจะส่งรูปหัวใจกลับมาทุกครั้ง ตามด้วยคำขอบคุณและข้อความลงท้ายว่า ผมคือไอดอลของเขา

ผมเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของเขามาตลอดผ่านหน้าเฟซบุ๊ก เขาปล่อยผมเผ้าจนยาวรุงรัง เสื้อตัดอ้อยสีโทรมซีด กางเกงยีนส์เก่าๆ และขาด รองเท้าแตะ สะพายย่าม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือบทกวีที่เขาโพสต์ ฉันทลักษณ์ที่ใช้ผิดๆ ถูกๆ เหมือนเขียนกลอนไม่เป็น กลอนเปล่าที่หาความหมายอะไรไม่ได้ ขนาดผมได้รับการยอมรับจากผู้คนในวงการว่าเชี่ยวชาญด้านบทกวี ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องการสื่อสารอะไร แต่รู้ว่าเขากำลังหลงทาง และไกลห่างจากวิถีกวีออกไปเรื่อยๆ บทกวีไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเครื่องแบบเพื่อชีวิต บทกวีไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ แต่เป็นสุนทรียะ ผมเคยคิดจะเตือนหรือให้คำแนะนำเขาอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขาโพสต์ว่า “เมื่อหนึ่งกวีปรากฏตัว ร้อยนักเขียนที่นั่งอยู่พลันต้องลุกขึ้นโค้งคารวะ” ผมเลยคิดว่าอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า

ผมแอบตั้งชื่อเขาว่า “กวีนอกรีต”

 

เด็กสมัยนี้ช่างใจร้อนกันเหลือเกิน บ่อยครั้งที่ผมเห็นการสร้างตัวตนของพวกเขาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ใครอยากเป็นกวี ก็ตั้งชื่อตนเองบอกให้โลกรู้กันไปเลย แมททิวกวี ชาคริตกวี ศิริกวี กวีก้าวหน้า กวีล้าหลัง กวีหำ กวีหอย เท่านี้ก็เป็นกวีแล้ว จากนั้นก็แสดงอัจฉริยภาพทางภาษาบนหน้าเฟซบุ๊กด้วยชุดถ้อยคำจำพวก ท้องฟ้า อากาศ จักรวาล พระเจ้า สายลม แสงแดด พร้อมภาพประกอบซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับข้อความ ไม่ว่าจะเป็น หมู หมา กา ไก่ แมว เสาไฟฟ้า เรือดำน้ำ น้องแนท หลังโพสต์เสร็จบรรดากวีทั้ง แมททิวกวี ชาคริตกวี ศิริกวี กวีก้าวหน้า กวีล้าหลัง กวีหำ กวีหอย ก็จะแห่กันมากดไลก์กดแชร์ พร้อมคอมเมนต์สดุดีความเลิศหรูอลังการงานกวี พวกเขาวนเวียนกันทำอย่างนี้ นี่คือภาพรวมกวีหน้าใหม่ของศตวรรษที่ 21 ในสายตาผม

ผมไม่ชื่นชอบการปรากฏตัวของกวีหน้าใหม่ด้วยวิธีการนี้ ซ้ำยังรำคาญพวกที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กอีกหลายพันบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดากวีทั้งหลายนั่นแหละ กวีเหล่านี้จะรู้ไหมว่าบทกวีคืออาวุธที่ทรงพลัง บทกวีสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ ผมจะโพสต์เตือนสติในฐานะผู้มาก่อนก็คงเสียเวลาเปล่า และที่สำคัญผมกลัวทัวร์ลง

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจใครนัก เพราะต้องใช้เวลาคัดเลือกบทกวีที่กระจัดกระจายเพื่อรวมเล่ม นักวิจารณ์หลายท่านบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะคว้ารางวัลซีไรต์เสียที หลังจากเคยเข้ารอบสุดท้ายประเภทกวีนิพนธ์มาแล้วหกครั้ง ซีไรต์จะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็นศิลปินแห่งชาติในอนาคต มันจะเป็นการเติมเต็มชีวิตของกวีคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผมควรจะได้รับสวัสดิการตอบแทนในบั้นปลาย หลังฝากผลงานให้ผืนแผ่นดินนี้จนเป็นที่ประจักษ์มาแล้วทั้งชีวิต

 

ผมกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง เมื่อกวีรุ่นน้องส่งข่าวของชายหนุ่มคนหนึ่งมาให้รับรู้ ชายหนุ่มที่ผมเคยเจอหน้าประตูหอศิลป์ร่วมสมัย-ราชดำเนิน กวีรุ่นน้องเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่าเขาคนนั้นกำลังเป็นปรากฏการณ์ในแวดวงกวี เป็นกวีสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก้าวหน้า ล้ำหน้าไปมากๆ บางทีเขาเองก็ไม่เข้าใจว่ากวีกำลังสื่อสารอะไร แต่ก็ต้องติดตามศึกษา บางทีกวีท่านนี้อาจเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าวงการกวีไปตลอดกาล

ผมได้ฟังก็ตื่นเต้นตามไปด้วย รีบค้นหาเฟซบุ๊กของเขาที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว เมื่อเจอก็รีบเปิดเข้าไปดู เห็นโพสต์ล่าสุดของเขาก็ต้องตกใจตามที่กวีรุ่นน้องว่า “บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” นี่คือข้อความที่เขาโพสต์ มีคนกดไลก์กดแชร์รวมกันเกือบสองแสนคน ผมรีบเลื่อนไปดูโพสต์อื่นๆ บทกวีที่ใช้ฉันทลักษณ์ผิดๆ ถูกๆ กลอนเปล่าที่หาความหมายอะไรไม่ได้ ต่างก็มียอดไลก์ยอดแชร์หลักแสนเช่นกัน

ในที่สุดสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง กวีนอกรีตออกรวมบทกวีเล่มแรก ผมหัวเราะลั่นเมื่อได้เห็นปก มันเป็นพลาสติกแผ่นใสที่มองทะลุเข้าไปข้างในทั้งปกหน้าและปกหลัง ไม่มีรูปภาพ ไม่มีชื่อผู้เขียน ไม่มีข้อความใดๆ ไม่มีกระทั่งชื่อเล่ม ตัวเล่มก็ไม่ต่างกัน เป็นเพียงหน้ากระดาษว่างเปล่าหลายสิบแผ่น ไม่มีเลขหน้า ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยว่านี่คือรวมบทกวี สำหรับผมมันไม่ใช่หนังสือด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อนึกไปถึงถ้อยคำเท่ๆ ที่ว่า “บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” ผมอยากจะล้มลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นเสียให้ได้

รวมบทกวีของกวีนอกรีตถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รุนแรงที่สุดน่าจะเป็นความเห็นของนักวิชาการสายวรรณกรรมทั้งหลาย พวกเขาบอกว่านี่เป็นการเลียนแบบความคิดที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้วในอดีต ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรน่าสนใจ พูดให้ชัดคือหนังสือเล่มนี้ไม่มีอะไรเลย

รวมบทกวีเล่มนี้กลายเป็นที่ถกเถียงรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อกวีนอกรีตอัพโหลดหน้าปกโปรไฟล์เฟซบุ๊กเป็นรูปภาพถ้อยคำว่า “เมื่อหนึ่งกวีปรากฏตัว ร้อยนักเขียนที่นั่งอยู่พลันต้องลุกขึ้นโค้งคารวะ” สเตตัสถูกแชร์ต่ออย่างแพร่หลาย มีการแสดงความคิดเห็นมากมาย ทั้งจากนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน กวี นักอ่านทั่วไป ส่วนใหญ่ล้อเลียนออกไปในเชิงถากถาง จนถึงด่าทอว่าบ้า

ปัญญาอ่อน

 

ผมนั่งอ่านไปหัวเราะไปจนท้องคัดท้องแข็ง กระทั่งไปเจอความคิดเห็นของกรรมการตัดสินรางวัลหลายเวทีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า หนังสือเล่มนี้คือสิ่งที่กวีต้องการสะท้อนกลับภาวะบางอย่างไปยังสังคม นี่เป็นรวมบทกวีที่บริสุทธิ์ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดเปรอะเปื้อนแม้กระทั่งตัวของมันเอง เป็นอภิมหาปรัชญาที่กวีต้องการสื่อสาร เหมือนที่กวีคอยตอกย้ำอยู่เสมอว่า “บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” เมื่อกรรมการหลายเวทีออกความเห็น ผมก็ไม่อยากโต้แย้งทั้งที่ไม่เห็นด้วยเลยสักนิด รอให้การประกวดซีไรต์ซึ่งท่านเป็นกรรมการตัดสินด้วยผ่านพ้นไปเสียก่อน ถึงตอนนั้นผมคงได้ถกเถียงกับท่านอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้ง

ผมเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง เมื่อรวมบทกวีปกใสเนื้อหาว่างเปล่าได้รับการพิมพ์ซ้ำถึงหกครั้งในรอบหนึ่งเดือน ยี่สิบห้าครั้งในเวลาครึ่งปี และยังถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดพิมพ์เป็นภาษาละติน อังกฤษ จีนกลาง ญี่ปุ่น อาหรับ อินเดีย แอฟริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส เกาหลี นี่คือผลงานของนักเขียนไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก มีคนเอากวีนอกรีตไปเปรียบเทียบกับ ฮารูกิ มูรากามิ ยอดนักเขียนชาวญี่ปุ่นว่าเป็นหน้าเป็นตาของคนเอเชีย บางคนเริ่มพูดถึงรางวัลโนเบล ถึงตอนนี้ผมก็แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะเขียนบทกวีอีกแล้ว ไม่ว่าหนังสือบ้าบอเล่มนี้จะไปปรากฏตัวตรงส่วนไหนของโลก ผมก็เห็นแค่หนังสือปกใสกับหน้ากระดาษว่างเปล่า ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเห็นอะไรจากหนังสือเล่มนี้ มันไม่ใช่หนังสือด้วยซ้ำ

กวีนอกรีตสร้างความฮือฮาไปทั่ววงการนักเขียนและกวีโลก เมื่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดส่งเทียบเชิญไปอ่านบทกวีให้นักศึกษาสาขาวรรณกรรมฟัง เขากลายเป็นกวีเอเชียคนแรกที่ได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์ กวีนอกรีตโด่งดังเป็นพลุแตก เมื่อได้รับเชิญให้ไปอ่านบทกวีในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน เขากลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เมื่อไปรับบท รพินทรนาถ ฐากูร ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง THE GARDENER หรือในชื่อภาษาไทยว่า คนสวน ผลงานกำกับการแสดงโดยพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดนาม สตีเวน สปีลเบิร์ก

ทั้งที่ในตอนแรกทุกคนต่างคาดการณ์กันว่าผู้ที่จะได้รับบทบาทนี้คือ อามีร์ ข่าน ยอดนักแสดงบอลลีวู้ด

 

ด้วยญาณพิเศษแห่งดวงตากวี ผมตระหนักรู้เสมอว่ากระแสลมของยุคสมัยกำลังพัดไปทิศทางใด ทั้งรู้อีกว่าบทกวีแนวไหนกำลังอินเทรนด์ ทันทีที่รวมกวีนิพนธ์เล่มใหม่ของผมปรากฏตัวบนแผง บรรดานักวิจารณ์ก็ออกมาฟันธงตรงกันว่าผมจะคว้ารางวัลซีไรต์แบบนอนมา นักข่าวบางสำนัก นิตยสารหลายฉบับติดต่อเข้ามาขอสัมภาษณ์ล่วงหน้า เรียกได้ว่าถนนทุกสายต่างพุ่งตรงมาที่ผม

เป็นครั้งแรกที่ผมสั่งตัดสูทเพื่อไปร่วมงานที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ด้วยความมั่นใจพร้อมเหตุผลมากมาย ผมตัดสินใจพิมพ์หนังสือฝากสายส่งไปจำหน่ายเพิ่มอีกห้าพันเล่ม หลังพิมพ์ครั้งแรกไปเพียงหนึ่งพันเล่ม ส่วนกวีนอกรีตไม่ร่วมส่งประกวด เขาอธิบายด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าขี้เกียจ

อีกครั้งที่ผมพลาดรางวัลซีไรต์ ผู้คว้ารางวัลไปครองใช้นามปากกาว่า “กวีรัก” ซึ่งผมไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อ เขาชนะเลิศจากรวมกวีนิพนธ์เล่มที่ชื่อ “รัก” ผมได้อ่านแล้ว ตั้งแต่คำนำ สารบัญ ไปจนจบเล่มเกือบสองร้อยหน้ามีแต่คำว่ารัก คำว่าคำนำก็เปลี่ยนเป็นคำว่ารัก คำว่าสารบัญก็กลายเป็นคำว่ารัก ขนาดเลขหน้ายังใช้คำว่ารักแทนที่ ทั้งเล่มมีแต่รักจริงๆ คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยเหตุผลว่านี่คือกวีนิพนธ์ที่แสดงความรักได้ชัดเจนที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ได้ฟังแล้วกวีอย่างผมก็อยากจะบ้าตาย และอีกไม่นานหนังสือเกือบหมื่นเล่มจะมากองอยู่กลางบ้าน พร้อมหนี้สินโรงพิมพ์อีกเกือบครึ่งล้าน

ปรากฏการณ์กวีนอกรีตเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมาในโลกวรรณกรรม ก่อนหน้านี้อาจเคยมีกระแสออเจ้าฟีเวอร์ จากการนำบทประพันธ์เรื่องบุพเพสันนิวาสของรอมแพงไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ แล้วผู้คนก็คลั่งไคล้จนพากันแต่งชุดไทยไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่นั่นเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่สื่อสิ่งพิมพ์ ในขณะที่นิตยสารหลายเล่มต้องปิดตัวลง รวมบทกวีของกวีนอกรีตกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

บ้าบอคอแตก ทุกคนก็เห็นกันอยู่เต็มสองตาว่าทุกครั้งที่เขาอ่านบทกวี เขาจะยืนก้มหน้านิ่งเหมือนยืนไว้อาลัย ไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยินสักแอะ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นทุกคนรับรู้ทันทีว่าบทกวีจบลงแล้ว มันจะตามมาด้วยเสียงปรบมือกึกก้องทุกครั้งไป ผมก็อยากรู้เหลือเกินว่าพวกเขาได้ยินอะไรกัน

ถึงจุดนี้ผมก็ต้องยอมรับและทำใจให้ได้ว่าตัวเองได้ตกยุคไปเสียแล้ว กวีนอกรีตมียอดพรีออร์เดอร์รวมบทกวีเล่มที่สองหนึ่งพันเล่มในเวลาไม่ถึงห้านาที โดยที่เขาโพสต์แค่ว่า “พรีออร์เดอร์รวมบทกวีเล่มใหม่ #บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” โดยไม่มีรูปหนังสือหรือข้อมูลใดๆ

ถึงตอนนี้ผมว่าก็คงมีแต่กวีนอกรีตนี่แหละที่จะช่วยผมชำระหนี้สินของความฝันได้

 

ผมกลับไปกดไลก์ทุกสเตตัสของกวีนอกรีต พูดให้ชัดคือผมกดไลก์สเตตัสของเขาตั้งแต่โพสต์แรกในเฟซบุ๊กจนถึงโพสต์ล่าสุด ไม่ว่าจะ “บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” หรือ “เมื่อหนึ่งกวีปรากฏตัว ร้อยนักเขียนที่นั่งอยู่พลันต้องลุกขึ้นโค้งคารวะ” ผมกดไลก์ให้หมดแล้วก็ส่งข้อความทักทายไปว่า

“จำพี่ได้ไหมเอ่ย พี่ยังติดตามน้องอยู่เสมอ เห็นพัฒนาการทางการเขียนแบบก้าวกระโดด เห็นการเติบโตในบทกวี ตอนนี้พี่เป็นแฟนตัวยงของน้องเลย”

“จำได้ครับ มีอะไรให้รับใช้ครับพี่กวี” กวีนอกรีตตอบกลับ

“ตอนที่เราเจอกันที่หน้าหอศิลป์ราชดำเนิน ตอนนั้นน้องบอกว่ามีพี่เป็นแรงบัลดาลใจใช่ไหม”

“ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่” เห็นข้อความของเขาผมก็โล่งใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มหนักใจที่ต้องพูดความต้องการ

“พี่อยากให้น้องช่วยพูด ช่วยโพสต์ ว่ามีพี่เป็นแรงบันดาลใจอย่างไร ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่แค่อยากรู้ว่ากวีรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างน้องมีมุมมองต่องานของพี่อย่างไร” ผมส่งข้อความกลับไปอย่างลำบากใจ

“ได้สิครับ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงมีข้อความส่งมาทางช่องแช็ตเฟซบุ๊ก เป็นใครผมก็ไม่รู้จัก เขาขอสั่งซื้อรวมบทกวีของผมทุกเล่ม บอกให้คิดเงินพร้อมค่าจัดส่งแล้วแปะเลขที่บัญชีไว้ด้วย มีข้อความส่งเข้ามาอีกไม่ขาดระยะ หลายคนเข้าไปคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กของผมเหมือนทัวร์ถล่ม ด้วยอานุภาพของกวีหนุ่มที่ผมเชื่อแล้วว่าเขาจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าวงการกวีไปตลอดกาล ชั่วข้ามคืนผมมียอดสั่งซื้อหนังสือเข้ามาถึงแปดร้อยเล่ม ครบหนึ่งสัปดาห์มียอดกว่าห้าพันเล่ม

เวทีเสวนากวีโลกถูกจัดขึ้นที่เมืองไทยอีกครั้ง ผู้คนมากันเต็มความจุของหอประชุมแห่งชาติ ทั้งนักการเมือง ศิลปินทุกสาขาอาชีพ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน นักข่าว ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นกล่าวเปิดงาน ตามด้วยการเชิญกวีตัวแทนของประเทศไทยขึ้นอ่านบทกวี

เขายังคงปล่อยผมเผ้ายาวรุงรัง สวมเสื้อตัดอ้อยสีโทรมซีด ใส่กางเกงยีนส์เก่าๆ และขาด รองเท้าแตะ สะพายย่าม ผมแอบหัวเราะคนเดียวเมื่อคิดว่าเขาเคยเขียนบทกวีอะไรไว้บ้าง ซึ่งก็ไม่มี แล้ววรรคทองล่ะ ซึ่งก็ไม่มีอีกเช่นกัน กวีนอกรีตคนนี้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าวงการกวีจริงๆ นั่นคือเปลี่ยนไปจนไม่เหลืออะไรเลย อักษรสักตัว คำสักคำก็ไม่หลงเหลือ ทุกคนในงานจ้องมองเขาเหมือนได้เจอศิลปินในดวงใจ

กวีนอกรีตพูดออกไมค์เสียงดัง “บทกวีคือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์” เสียงปรบมือดังกึกก้อง ทิ้งระยะสักครู่เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมรับฟังบทกวี” พูดจบเขายืนก้มหน้านิ่งเหมือนยืนไว้อาลัย ไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยินสักแอะ ผ่านไปสักครู่เขาก็เงยหน้าขึ้น ทุกคนรับรู้กันทันทีว่าบทกวีได้จบลงแล้ว จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง

“ผมเชื่อเสมอมาว่าหากมีกวีสักคนปรากฏตัว ทุกคนที่นั่งอยู่จะพร้อมใจกันลุกขึ้นโค้งคารวะ” สิ้นคำ เสียงปรบมือทำหอประชุมแทบแตก ทันใดนั้นทุกคนก็พลันลุกขึ้นยืน

ผมรีบลุกขึ้นตามแล้วก้มหัวโค้งในทันที… •

 

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024?fbclid=IwAR22RbstgOdFjK3Kl_MAt_MusBlq5oxijEcCbx_-0y6zmJhXvZl3Q_2G-cE