ผ่าแผน ‘แป้ง นาโหนด’ เผ่นหนีลอยนวลจาก รพ. ตร.ปฏิบัติการล่ายกแก๊ง ย้ายด่วน ‘ผบ.คุก-3 จนท.’

นาทีหนีจากโรงพยาบาล

ปฏิบัติการแหกคุก! หลบหนีจากการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ในระหว่างรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ทำให้ชื่อของนายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง นาโหนด กลายเป็นที่จับจ้องของสังคมขึ้นมาทันที

พฤติกรรมการหลบหนีของเสี่ยแป้งไม่ธรรมดา มีการวางแผนเป็นขั้นตอน มีผู้ร่วมก่อเหตุหลายคน ที่สำคัญคือเป็นไปได้สูงที่มีจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำรู้เห็นเป็นใจด้วย

ไม่ธรรมดาขนาดที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กำชับให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ ต้องไปสืบให้ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าผิดจริงต้องเอาผิดถึงที่สุด

เรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ 03.30 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม ร.ต.อ.ภิญญา ทิมรัตน์ รอง สว.สส.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช รับแจ้งจากผู้คุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ว่านักโทษชายที่ถูกส่งตัวมารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชหายตัวไป

หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ จากนั้นจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้หลบหนีคือ นช.เชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง นาโหนด ได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.มหาราช นอนที่ตึกผู้ป่วยชาย โดยมีผู้คุมเรือนจำเฝ้าอย่างใกล้ชิด เวลา 01.00 น. เป็นจังหวะที่ผู้คุมเผลอเดินไปหน้าห้อง นช.เชาวลิตจึงได้โอกาสหลบหนีหายไป หลังผู้คุมรับทราบจึงได้ค้นหาทั่วโรงพยาบาล แต่ไม่พบ จึงได้แจ้งร้อยเวร สภ.เมืองนครศรีธรรมราช

นช.เชาวลิตถูกศาลจังหวัดพัทลุงสั่งจำคุก 20 ปี 6 เดือน คดีร่วมพาพวกเข้าปล้นผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ขณะจับกุมคดียาเสพติด

นอกจากนี้ ยังมีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาอีกหลายคดี เช่น คดีสมคบค้ายาเสพติด คดีฟอกเงิน คดีร่วมกันฆ่า เช่น คดีการลอบฆ่านายอนันต์ คลังจันทร์ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ถูกย้ายพฤติการณ์มาจากเรือนจำกลางพัทลุง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพล

โดยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมาถูกส่งออกไปรักษาทางทันตกรรม ณ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช แต่มีอาการวูบหมดสติ และขาอ่อนแรง จึงแอดมิตที่โรงพยาบาล และหลังจากนั้นได้หลบหนีไป

ผ่าแผนการหลบหนี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภาค 8 พล.ต.ต.สมหมาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช นำตำรวจไล่ล่า พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล พบภาพ นช.เชาวลิตเดินออกจากลิฟต์จากชั้น 6 สู่ชั้นล่างกับนายจิรวุฒิ หรือปอย ชุมศรี ก่อนที่จะขึ้นรถกระบะสี่ประตูสีขาว ที่มีนายจักรี หรือบิ๊ก แป้นน้อย ขับมาจอดรออยู่หลบหนีไปอย่างลอยนวล โดยมีรถเก๋งและกระบะอีกคันขับนำ

สอบสวนทราบว่านายเชาวลิตมารักษาทันตกรรมตามนัดของแพทย์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม แต่ทางแพทย์ได้เลื่อนนัด ขณะจะพาตัวกลับเจ้าตัวมีอาการวูบหมดสติ จึงต้องรักษาอยู่ที่ตึก 298/2 อายุรกรรม ชั้น 6 โดยขาสองข้างใส่เครื่องพันธนาการไว้ด้วย เบื้องต้นเชื่อว่าวางแผนแหกคุกไว้หลายวันแล้ว

ข้อสังเกตคือผู้รับหน้าที่ดูแลนายเชาวลิตมีอยู่ด้วยกัน 3 คน 1 คนได้แจ้งให้อีก 2 คนไม่ต้องมาเข้าเวรในช่วงกลางวัน แต่ให้มารับเวรช่วงหลังเที่ยงคืน และในช่วงกลางวันมี น.ส.วิลาวัลย์ หรือไหม หมื่นรักษ์ รับจ้างเฝ้าไข้แทน

เมื่อตำรวจนำ น.ส.ไหมมาสอบสวนก็ยอมรับว่ามีนางยุวเรศ หรือหมวย กลศึก จ้างให้มาอยู่เฝ้าไข้ โดยนายปอยแอบนำคีมตัดเหล็กมาส่งให้นายเชาวลิตใช้ตัดโซ่ในคืนวันที่ 20 ตุลาคม แต่ไม่สำเร็จ วันรุ่งขึ้นจึงแจ้งผู้คุมขอเปลี่ยนโซ่ ปรากฏว่าผู้คุมได้นำโซ่ติดกุญแจมือมาเปลี่ยนให้ มีการพันธนาการแบบหลวมๆ

จนกระทั่งตอนดึกคืนวันที่ 21 นายปอยทำทีมาเฝ้าอยู่ด้วย โดยอยู่ปะปนกับญาติคนอื่นๆ แบบเนียนๆ ได้ลงไปรับลูกกุญแจจากนายจักรี หรือบิ๊ก ด้านล่างแล้วนำมาส่งให้

หลังจากนั้นนายเชาวลิตได้ใช้ผ้าห่มคลุมทับไขกุญแจมือจนสำเร็จ แล้วไปเปลี่ยนผ้าเดินลงไปด้านล่างหนีหายไป ส่วนตัวเองด้วยความตกใจยังอยู่ด้านบนจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทราบเรื่อง

ประเด็นอยู่ที่ว่ามีการเปลี่ยนโซ่ด้วยสาเหตุใด เพื่อเอื้อให้มีการไขหลบหนีไปได้โดยง่ายหรือไม่ เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์จะต้องสอบละเอียด

พล.ต.ต.สมหมายเผยว่า ผลการสอบสวน น.ส.วิลาวัลย์ ผู้รับจ้างเฝ้าไข้ ให้การเป็นประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก โดยเฉพาะขั้นตอนการเข้าถึงตัวเสี่ยแป้งและลูกน้อง การนำอาวุธปืน กุญแจไขโซ่ข้อเท้ามาส่ง รวมทั้งการจ่ายเงินค่าแรงเฝ้าไข้

ส่วนผู้เกี่ยวข้องมีด้วยกัน 3 คน คือ นายจีรวุฒิ, นายจักรี และนางยุวเรศ แบ่งหน้าที่กันทำ ส่วน น.ส.วิลาวัลย์ยืนยันว่านายเชาวลิตนำโทรศัพท์มือถือของเธอไปใช้ และประสานงานให้หลบหนี หากสำเร็จจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 2 แสนบาท และให้บ้านที่ จ.ภูเก็ตอีก 1 หลัง แต่ที่ได้จริงตอนนี้คือเงิน 2 พันบาท ที่นางยุวเรศโอนให้เท่านั้น

สำหรับนางหมวย ซึ่งเป็นเมียของนายเจมส์ ลูกน้องเสี่ยแป้ง เมื่อ 3 ปีก่อน ได้ร่วมกับนายเจมส์ อุ้มฆ่าลูกหนี้สาวหลังไปทวงเงินแล้วไม่ได้ จึงนำตัวมาขัง ก่อนฆ่าทิ้ง นำศพไปทิ้งริมคลอง พื้นที่ ต.นาโหนด อ.เมือง จ.พัทลุง คดีดังกล่าวศาลตัดชั้นต้นสินจำคุกตลอดชีวิตนายเจมส์ ส่วนนางหมวยศาลยกฟ้อง

ต่อมาตำรวจระดมตรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัย 4 จุดในพื้นที่พัทลุง ก่อนจับกุมนางยุวเรศได้ที่บ้านพัก ในพื้นที่ ต.นาโหนด อ.เมืองพัทลุง แต่เจ้าตัวยังให้การปฏิเสธ

นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด

เปิดประวัติ “แป้ง นาโหนด”

จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง นาโหนด เป็นชาว ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถชื่อดังในพื้นที่ ต.ท่าแค และเป็นอู่ที่คนพัทลุงรู้จักเป็นอย่างดี เจ้าตัวเป็นคนพูดจาดี ไม่ก้าวร้าว มักนำสิ่งของไปแจกช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่เพื่อปูทางลงสู่สนามการเมืองท้องถิ่น โดยเคยลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง (ส.อบจ.) เมื่อปี พ.ศ.2562 แต่ไม่ได้รับเลือก

ส่วนประวัติในทางนักเลง เริ่มก่อคดีมาตั้งแต่ปี 2550 อุ้มฆ่าตำรวจ นปพ.สงขลา เหตุเกิดพื้นที่ ต.นาโหนด อ.เมือง จ.พัทลุง ต่อมาได้ก่อคดีอย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นคดีและไม่เป็นคดี โดยทั้งลงมือเองและให้ลูกน้องที่ส่วนใหญ่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและอาวุธปืนลงมือแทน

ข้อมูลเชิงลึกระบุว่ารายได้หลักของเสี่ยแป้ง มาจากการทวงเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย อุ้มนักค้ายาเสพติดเรียกค่าไถ่ โดยเป็นที่รู้กันว่าทีมงานในการลงมือนั้นมักจะมีเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ช่วงปี 2562 ถือเป็นช่วงที่มีการก่อเหตุมากที่สุดในพื้นที่ จงพัทลุง เช่น คดีเหตุยิงกันบริเวณด้านหน้าสำนักงาน ธ.ก.ส.ท่ามิหรำ โดยมีทีมงานลูกน้องคนสนิท 3 คน ใช้รถยนต์กระบะยิงคู่อริอย่างอุกอาจ เหตุการณ์ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด โดยศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

ด้วยอำนาจและอิทธิพล โดยมีแรงสนับสนุนจากนักการเมืองใหญ่และมีญาติเป็นถึงนายตำรวจระดับผู้กำกับเป็นทุน ทำให้เสี่ยแป้งเหิมเกริมถึงขั้นก่อเหตุปล้นชิงตัวผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 เมื่อปี 2562 และก่อคดีพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงพัทลุง

นับตั้งแต่ปี 2550 ที่เริ่มก่อเหตุ เจ้าตัวมีคดีติดตัว ทั้งฆ่าคนตาย, ฆ่าตำรวจ, พยายามฆ่าผู้อื่น, พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่, ครอบครองอาวุธปืน, ปืนสงคราม, บุกรุก รวมแล้วถึง 12 คดี ส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่เมืองพัทลุง

เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวและส่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำพัทลุง ก็ยังมีอิทธิพล เนื่องจากมีลูกน้องหลายคนอยู่ในเรือนจำด้วย ก่อนถูกนำมาฝากขังไว้ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เจ้าตัวยกพวกทำร้ายนักโทษในเรือนจำที่เป็นคู่อริซ้ำมีพฤติกรรมข่มขู่เจ้าหน้าที่จนต้องถูกจับแยกเรือนจำ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ติดตามคดี

กรมคุกเด้ง ผบ.เรือนจำนครศรีฯ

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้สั่งการให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากพบข้อสงสัยแปลกประหลาดในหลายประเด็น ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงทันที เร่งรวบรวมข้อมูลก่อนจะพิจารณาว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหรือไม่

ต่อมานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีคำสั่งให้ย้ายนายณรงค์ หนูคง ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และนายพูชนะ หิรัญรัตน์ ผอ.ส่วนควบคุมของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ไปปฏิบัติราชการที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี

ส่วนผู้คุมราชทัณฑ์ 2 ราย (ผลัดกลางวัน) ที่รับหน้าที่เฝ้าไข้นายเชาวลิต ในคืนเกิดเหตุ ถูกย้ายไปยังเรือนจำอำเภอเบตง พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ว่ามีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ หรือเกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ โดยต้องสอบให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 5 วัน

หากผู้คุมราชทัณฑ์มีการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องขังรายดังกล่าวจริง ทางคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ก็จะมีการดำเนินการทางคดีอาญาต่อไปตามลำดับ

ขณะที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ก็ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 100,000 บาท หากผู้ใดพบเห็นแจ้งเบาะแสได้ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช 0-7580-3905 หรือ 09-6641-1495

“เศรษฐา” สั่งเอาผิดถึงที่สุด

ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กำชับให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ต้องไปสืบให้ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการกับผู้มีส่วนร่วมในการพาหลบหนีอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ถ้าทำอย่างนั้นต้องเอาผิดอยู่แล้วโดยไม่ต้องถามถ้าผิดต้องเอาผิดถึงที่สุด เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

ด้าน พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) สั่งการให้ พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. จัดกำลังชุดสืบสวนออกหาข่าวการหลบหนี เนื่องจากเสี่ยแป้งนั้นถือว่าเป็นกลุ่ม ผู้มีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ จ.พัทลุง

สตูลตั้งด่านตรวจค้นเข้ม

ตัดภาพมาที่การไล่ล่าตัวนายเชาวลิต หรือเสี่ยแป้ง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจากกองกำกับการ 6 กองบังคับการกองปราบปราม ลงพื้นที่ 3 จังหวัดคือ พัทลุง ตรัง สตูล และพบว่าขณะนี้นายเชาวลิตมีอาวุธปืนสงครามติดตัว หากเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่เชื่อว่าจะมีการยิงต่อสู้ โดย พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รักษาการผู้ช่วย ผบ.ตร.สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังสูงสุด และหากมีการยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่สามารถป้องกันตัวได้ตามสถานการณ์

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไล่ล่าภาค 8 ภาค 9 พบรถกระบะ ทะเบียน 8 กจ 9049 พัทลุง คันที่พาเสี่ยแป้งหลบหนีจาก รพ.มหาราชฯ ถูกจอดทิ้งไว้ใกล้ท่าเรือแห่งหนึ่งใน จ.สตูล ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย โดยคาดว่าเสี่ยแป้งพร้อมคนช่วยเหลืออาจหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

แต่สุดท้ายเมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงข่าวลวง โดยชุดไล่ล่าเชื่อว่าน่าจะยังหลบหนีเข้ามาในเขตอิทธิพลเดิมของตนเองคือในพื้นที่ จ.พัทลุง ซึ่งยังมีลูกน้องเก่าคอยให้ความช่วยเหลืออยู่

ล่าสุด มีรายงานว่าเจ้าตัวน่าจะทิ้งรถหลบหนีขึ้นไปซ่อนตัวบนเทือกเขาบรรทัด ช่วง อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ซึ่งเต็มไปด้วยสวนยางพาราและขนำกระจายอยู่ทั่วไป

ส่วนชุดปฏิบัติการที่นำโดย พ.ต.อ.สมพงศ์ สุวรรณวงค์ รองผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 ก็ลงพื้นที่ อ.มะนัง จ.สตูล พบกับชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพักนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เพื่อกดดันและควานหาตัวอย่างเข้มข้นอีกทางหนึ่ง ปฏิบัติการไล่ล่านักโทษหลบหนีครั้งนี้ยังดำเนินต่อไป

แต่ที่สำคัญคือการสอบสวนให้ชัดเจนว่ามี “เกลือเป็นหนอน” จริงหรือไม่