ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | คลุกวงใน |
ผู้เขียน | พิศณุ นิลกลัด |
เผยแพร่ |
คลุกวงใน | พิศณุ นิลกลัด
Facebook : @Pitsanuofficial
เหตุใดนักฟุตบอลถึงมีรอยสักเยอะ
มีคำกล่าวว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ (“The eyes are the windows to the soul.”)
ถ้าเราอยากทราบความคิดของใคร ให้สังเกตที่ดวงตาของเขา เพราะดวงตาหนึ่งคู่ สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกได้มากมาย
แต่สำหรับคนบางกลุ่ม รอยสักอาจเป็นสิ่งที่สื่อถึงจิตวิญญาณและความรู้สึกของพวกเขาได้ดีกว่า
ข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration) บอกว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 45 ล้านคนทั่วอเมริกา มีรอยสักอย่างน้อย 1 ชิ้นบนร่างกาย
ส่วนในสหราชอาณาจักร มีประชากรที่มีรอยสักมากถึง 20 ล้านคน จำนวน 1 ใน 3 (กว่า 6 ล้านคน) เป็นคนที่อยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือนักฟุตบอล
เราจะสังเกตได้ว่าถ้านักฟุตบอลคนไหนชอบสัก บนผิวหนังของพวกเขาจะเต็มไปด้วยรอยสักจนแทบจะไม่เหลือที่ว่าง
แต่รอยสักของนักฟุตบอลแต่ละคนก็ไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์ความสวยงามเพียงอย่างเดียว เพราะรอยสักสามารถสื่อความหมายอะไรบางอย่างที่อาจทำให้เราได้รู้จักนักฟุตบอลแต่ละคนมากยิ่งขึ้น
ในหนังสือ Soccer Style : The Magic and Madness เขียนโดย ไซมอน ดูนาน (Simon Doonan) ได้อธิบายเหตุผลที่เขาเชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจให้นักฟุตบอลหันมาสักกันมากมาย
เหตุผลแรกคือ นักฟุตบอลหลายคนมีความหัวรั้นอยู่ในตัวเอง สังเกตได้จากสไตล์การตัดผมสุดแหวกแนวของนักฟุตบอลแต่ละคน รวมถึงการมีรอยสัก เป็นการแสดงออกถึงมุมเล็กๆ ซึ่งผู้จัดการทีมหรือโค้ชคนไหนก็ไม่สามารถห้ามพวกเขาทำสิ่งที่ดื้อรั้นอย่างการไปสักได้
เหตุผลต่อมาคือ เรื่องของเวลา การนอนนิ่งๆ หลายชั่วโมง เพื่อให้ช่างสักลวดลายศิลปะลงบนผิวหนัง อาจฟังดูเป็นเรื่องที่เสียเวลาสำหรับใครบางคน
แต่นักฟุตบอลที่มีเวลาเหลือเยอะหลังจากซ้อมกับทีมในช่วงบ่าย การได้ใช้เวลาไปอยู่ในร้านให้ช่างสัก เป็นการใช้เวลาผ่อนคลายรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการเล่นเกมอยู่ที่บ้าน
เหตุผลที่สามคือ เรื่องเงิน เมื่อนักฟุตบอลมีเงินเยอะ ก็อยากหาทางใช้เงิน ราคาของช่างสักส่วนใหญ่คิดเป็นรายชั่วโมง อยู่ที่ประมาณชั่วโมงละ 150 ดอลลาร์ (5,400 บาท)
หากสักทั้งแขนก็จะใช้เวลาประมาณ 40 ชั่วโมง ค่าบริการอยู่ที่ 6,000 ดอลลาร์ (218,000 บาท)
และในอนาคตถ้าต้องการใช้บริการเลเซอร์ลบรอยสัก ก็จะมีค่าใช้จ่ายพอๆ กับตอนที่สัก
เหตุผลที่สี่คือ ชอบความรู้สึกในขณะที่สัก บางคนอาจแค่ต้องการมีรอยสักบนผิวหนังให้สวยงามไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์เท่าไรเวลามีเข็มมาแทงซ้ำๆ บนร่างกาย
แต่สำหรับธีโอ วัลคอตต์ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เขาเป็นคนหนึ่งที่ยอมรับว่าชื่นชอบความรู้สึกเวลาที่กำลังสักอยู่ โดยเขาเคยให้ลูอิส มอลลอย (Louis Molloy) ศิลปินช่างสักผิวหนังที่มีชื่อเสียงในหมู่นักฟุตบอลสักเป็นรูปนักธนูที่แขนซ้าย โดยใช้เวลานั่งทำทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง 30 นาที
เป็น 8 ชั่วโมงครึ่งที่วัลคอตต์ยอมรับว่ารู้สึกดีมากๆ
เหตุผลที่ห้าคือ แสดงความเป็นเอกลักษณ์
สมัยนี้ในลีกฟุตบอลเริ่มมีโลโก้บริษัทต่างๆ เข้ามาอยู่มากมายรอบตัว ทั้งป้ายในสนาม ชุดแข่ง กราฟิกในโทรทัศน์ แม้แต่ฉากหลังตอนสัมภาษณ์ของแต่ละทีมก็มีโลโก้นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด
ทุกคนต้องการพื้นที่เพื่อจะแสดงความเป็นตัวเองออกมา
เช่นเดียวกับนักฟุตบอลในปัจจุบันที่มีรอยสักมากมายเต็มตัวไปหมด
รอยสักก็เหมือนโลโก้ที่ช่วยสร้างความเป็นเอกลักษณ์ออกมาให้นักฟุตบอลแต่ละคน
เหตุผลที่หกคือ ต่อต้านความเกลียดชัง รอยสักเป็นสิ่งที่ใช้ต่อกรกับบุคคลที่มีแต่ความเกลียดชังและทำตัวน่ารังเกียจ
นักฟุตบอลหลายคนใช้รอยสักเป็นเครื่องมือช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองจากนักเลงคีย์บอร์ดในโซเชียลมีเดีย ที่คอยกัดกร่อนและสร้างความเสื่อมถอยให้กับสังคม โดยการสักคำง่ายๆ แต่ทรงพลัง
เหตุผลที่เจ็ดคือ สร้างความเป็นชาย รอยสักเป็นเหมือนสิ่งที่เตือนใจให้นักฟุตบอลปลุกความเป็นชายและความกล้าหาญในตัวเองขึ้นมา ทำให้ดูเป็นคนที่มีความดุดันไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
อย่างที่แขนขวาของเดวิด เบ๊กแฮม มีประโยคภาษาอังกฤษเขียนว่า “Let Them Hate As Long As They Fear” ซึ่งเป็นคำพูดของคาลิกูลา (Caligula) จักรพรรดิโรมัน แปลว่า “จงปล่อยให้พวกเขาเกลียด ตราบเท่าที่พวกเขายังหวาดกลัว”
แม้ปัจจุบันนี้เดวิด เบ๊กแฮม จะเลิกเล่นฟุตบอลไปนานแล้ว แต่เบ๊กแฮมก็ยังถือเป็นผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในเรื่องการเป็นผู้นำแฟชั่นในประวัติศาสตร์ของฟุตบอล
โดยเบ๊กแฮมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการสักตั้งแต่เริ่มสักชื่อลูกชายคนโตในปี 1999 สมัยที่เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
จนปัจจุบันนี้เบ๊กแฮมมีรอยสักมากมายทั่วร่างกาย ซึ่งแต่ละชิ้นก็มีความหมายน่าสนใจ และเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้นักฟุตบอลหลายๆ คนหันมาสนใจเรื่องรอยสัก
แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นนักฟุตบอลที่ไม่มีรอยสักบนร่างกายแม้แต่จุดเดียว ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยสังเกตมาก่อน
โรนัลโด้ให้เหตุผลว่าที่ไม่เคยสักนั้นเพราะเขาเป็นคนที่บริจาคเลือดเป็นประจำ ปีละ 2 ครั้ง
การสักครั้งหนึ่ง ทำให้เขาต้องงดการบริจาคเลือดไปอย่างน้อย 1 ปี เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ติดมาทางกระแสโลหิตจากการใช้เครื่องมือสัก
โรนัลโด้จึงเลือกที่จะไม่สัก เพราะต้องการบริจาคเลือดช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่า
เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วหล่อล้ำหน้าไปอีก 5 ก้าว
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022