ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
Instagram : @sueching
Facebook.com/JitsupaChin
Taylor Swift
ผู้ยิ่งใหญ่กว่า AI
ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงของ Taylor Swift หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเธอเป็นนักร้องป๊อปสตาร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในโลก
อัลบั้ม Midnights ที่ปล่อยออกมาช่วงปลายปี 2022 ครองตำแหน่งอัลบั้มขายดีที่สุดที่ 1.8 ล้านก๊อบปี้ โดยมีหลายเพลงที่ติดอันดับท็อปชาร์ตแซงหน้าศิลปินที่ครองตำแหน่งมานาน
ไปจนถึงทัวร์คอนเสิร์ตมหากาพย์อย่าง Eras ที่ Swift จะเดินสายทัวร์ไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลกยาวไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 2024 ก็คาดการณ์ว่าจะเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่สร้างรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์และจะยิ่งใหญ่จนส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของเมืองที่เป็นเจ้าภาพจัดคอนเสิร์ตด้วย
เว็บไซต์ The Harvard Gazette พยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์ Taylor Swift ที่มีฐานแฟนที่เหนียวแน่นสุดสุดไปทั่วโลกโดยได้สัมภาษณ์คณาจารย์ในแวดวงดนตรีเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลให้ Swift ทรงอิทธิพลได้ขนาดนี้
และได้สรุปออกมาเป็นหลายข้อที่น่าสนใจ
เริ่มจากความสามารถของเธอในการเป็นนักแต่งเพลงที่โดดเด่น Taylor Swift มีพรสวรรค์ในการนำถ้อยคำมาร้อยเรียงเป็นเนื้อเพลงที่ไพเราะและลงตัวอย่างพอเหมาะ
เธอมีเซนส์ในการเขียนเพลงที่สามารถสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกให้ผู้ฟังสัมผัสได้และยังเล่าเป็นเรื่องราวให้เห็นภาพได้ชัดเจนด้วย
นักร้องคนอื่นอาจจะมีความสามารถในการร้องเพลงได้แบบเธอหรืออาจจะดีกว่าก็ได้ แต่น้อยคนที่จะมีพรสวรรค์ด้านการแต่งเพลงแบบเธอควบคู่กันไปด้วย
อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้เธอมีฐานแฟนที่แข็งแกร่งคือคนฟังเพลงเธอแล้วรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันได้ เพลงที่เธอร้องเป็นประสบการณ์ที่คนอื่นๆ ที่แม้จะไม่ได้เป็นเซเลบบริตี้เหมือนเธอก็ต้องพบเจอเหมือนๆ กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแฟนๆ Gen Z หรือ Millennials ที่โตมาพร้อมๆ กับ Taylor Swift ซึ่งเขียนเพลงเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาด้วยโดยตลอด
ทำให้แฟนกลุ่มนี้รู้สึกเชื่อมโยงได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาก็เกิดขึ้นกับ Swift เหมือนกันในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน
และปัจจัยสุดท้ายก็คือ Taylor Swift เป็นแบบอย่างหรือเป็นไอดอลในเรื่องของการยึดมั่นกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ เป็นแรงบันดาลใจแฟนเพลงเห็นว่าทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตที่ตัวเองต้องการได้ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคขวากหนามแค่ไหน
อย่างการที่เธอบันทึกเสียง 6 อัลบั้มของตัวเองใหม่ทั้งหมดเพื่อเคลมความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงที่เธอเขียนเอง
Taylor Swift ไม่ได้แค่ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมเพลงเท่านั้น แต่ความยิ่งใหญ่ของเธอกระทบกระเทือนไปถึงแวดวงอื่นๆ รวมถึงเทคโนโลยีด้วย และได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้
เรื่องล่าสุดก็คือ Taylor Swift : The Eras Tour ภาพยนตร์จากทัวร์คอนเสิร์ตที่จะพร้อมปล่อยออกสู่โรงภาพยนตร์ใน 100 ประเทศในเดือนตุลาคมคาดว่าจะเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
แต่ความยิ่งใหญ่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ถูกปล่อยโดยสตูดิโอ Hollywood แบบที่ทำกันตามปกติ แต่จะผ่านเชนโรงภาพยนตร์อย่าง AMC แทน
ซึ่งนับเป็นการท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง Hollywood เป็นที่สุด
เว็บไซต์ Fast Company บอกว่าเรื่องนี้เกิดจากการที่ Swift และทีมงานไม่เห็นด้วยที่สตูดิโอ Hollywood จะถือภาพยนตร์ไว้และรอปล่อยในปี 2025
เธอและทีมงานจึงหาช่องทางใหม่แม้ว่านี่อาจจะสร้างความขุ่นเคืองให้ Hollywood ก็ตาม
หากลองมองย้อนกลับไปจะพบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้บริหารธุรกิจระดับโลกต้องยอมก้มหัวให้กับความต้องการของ Taylor Swift เพราะในแวดวงเทคโนโลยีก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว
ในปี 2015 Apple เตรียมเปิดให้บริการ Apple Music บริการฟังเพลงแบบสมัครสมาชิก ในช่วงแรก Apple ต้องการดึงดูดลูกค้าด้วยการให้ทดลองฟังได้ฟรี 3 เดือน
โดยที่ใน 3 เดือนนั้น ศิลปิน โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากการสตรีมเพลงเลยแม้แต่บาทเดียว
ศิลปินต่างพร้อมใจกันตำหนิติเตียน Apple ว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ Apple ก็ทำหูทวนลม
จนกระทั่ง Taylor Swift เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง Apple ผ่านหน้าเพจ Tumblr และบอกว่าเธอจะไม่ยอมปล่อยอัลบั้ม 1989 ให้กับ Apple Music จนกว่า Apple จะยอมตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้ศิลปิน คนทำเพลง ตลอดช่วง 3 เดือนของการทดลองใช้งานฟรี
วันถัดมา Eddy Cue ผู้บริหารระดับสูงของ Apple ก็ออกมาทวีตตอบว่ารับฟังเธอและศิลปินอินดี้ทุกคน แล้ว Apple Music ก็เปิดตัวมาด้วยนโยบายยอมจ่ายค่าตอบแทนให้กับศิลปินตั้งแต่วันแรกที่คนเปิดใช้งาน
แน่นอนว่ามีอัลบั้ม 1989 ของเธอรวมอยู่บนแพลตฟอร์มด้วย
Spotify ก็เคยมีเหตุการณ์ต้องรับมือกับอะไรคล้ายๆ กับแบบนี้มาแล้วในปี 2014
เพราะ Taylor Swift ดึงอัลบั้มเพลงทั้งแคตตาล็อกออกจากแพลตฟอร์มอันเนื่องมาจากการจ่ายค่าตอบแทนศิลปินในอัตราที่ต่ำมาก
เพลงของเธอหายไปจาก Spotify ยาวไปจนถึงปี 2017
จนกระทั่ง CEO ที่ต้องเทียวไล้เทียวขื่อบินไปง้อเธอที่บ้านหลายต่อหลายครั้งสามารถเอาชนะใจเธอได้
และเธอยอมปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง Delicate แบบเอ็กซ์คลูซีฟบน Spotify โดยเฉพาะ
ปิดท้ายที่เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ หลัง Elon Musk เข้าครอบครอง Twitter และเปลี่ยนชื่อเป็น X พร้อมนโยบายแปลกใหม่หลายอย่างที่ส่งผลให้แบรนด์และผู้ใช้งานบางส่วนทยอยหายไปจากแพลตฟอร์ม
Elon Musk จึงต้องกอบกู้ด้วยการหาบิ๊กเนมมาลงคอนเทนต์บน X
ซึ่งบิ๊กเนมคนนั้นจะเป็นใครไปได้ นอกจาก Swift ที่ยอมมาเผยภาพแบ๊กคัฟเวอร์อัลบั้มเพลง 1989 ในเวอร์ชั่นของเธอเองบน X
เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นผู้บริหารที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่แค่ไหน หากต้องเผชิญหน้ากับ Taylor Swift แล้ว ก็ต้องยอมจำนนให้กับข้อเรียกร้องที่มีเหตุผลอันดีของเธอทุกรายไป และฉันเชื่อว่าไม่ใช่แค่ผู้บริหารแบรนด์ใหญ่เท่านั้น ต่อให้ AI พัฒนาจนร้องและเขียนเพลงเลียนแบบ Taylor Swift ได้
เธอก็จะยังยิ่งใหญ่กว่า AI อยู่ดี
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022