การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – เร็วหรือช้า ฉันก็จะต้องกลับไป

ฉันไม่เคยรู้จักนักเขียนคนนี้มาก่อนเลย คมทวน คันธนู ชื่อฟังดูแข็งแกร่งและทระนงองอาจ ฉันพลิกดูหนังสือคร่าวๆ แล้วยิ่งรู้สึกประหลาดใจ…บทกวีข้างในเล่ม ไม่เหมือนที่เคยอ่านมาเลย

พับปกหนังสือกลับเข้าหาเล่ม เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ เหมือน…มีบางสิ่งกระตุ้นเตือนอยู่ข้างใน ชีวิตฉันจะต้องเปลี่ยนไปแล้วล่ะ

มันจะต้องเปลี่ยน ใช่ จะต้องเปลี่ยนไป

เพียงแต่ช่างน่าเสียดาย

มันคงเป็นแค่ความฝันของฉัน

 

ชายผมถักเปียเหลือบตามองฉัน เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ขณะมือขาวยังกรีดสันปกหนังสือคล่องแคล่ว

“?”

“พี่ฮะ”

มือเรียวยาวยังทำงานต่ออย่างว่องไว

“อยากลองซ่อมหนังสือดูมั้ย”

ไม่ถามเปล่า ยังยื่นหนังสือให้ดู

“ดูสิ เท่านี้มันก็มีชีวิตอีกแล้วล่ะ”

ใจฉันกระตุกขึ้นวูบหนึ่ง ไม่เคยได้ยินใครพูดถึง “หนังสือ” แบบนี้มาก่อนเลย

“…ถ้าเป็นงานก็ทำได้ฮะ”

มีรอยยิ้มบนริมปาก

“มีอะไรหรือ?”

“ฮะ?”

“อ้าว ที่เข้ามาเลียบๆ เคียงๆ นี่น่ะ มีอะไร”

และโดยฉับพลัน นายจ้างที่ทำให้ฉันประหลาดใจได้ตลอดเวลาก็เงยหน้าขึ้นมองตาฉัน

“มีอะไร จะลาออก หรือว่าจะเบิกเงินล่วงหน้า”

“ปละ…เปล่าฮะ” ฉันนึกหาคำพูดไม่ออกในฉับพลัน แต่เนิ่นนานที่เจ้าของร้านยังมองอยู่

ก่อนฉันจะตัดสินใจ ยื่นของสิ่งหนึ่งให้

“นี่เป็นบทกลอนทั้งหมดที่เขียน…ที่เราเขียนฮะ อยากจะขอให้พี่ช่วยอ่าน…คือ…คือเราอยากจะส่งไปลงหนังสือบ้าง”

มีสายตาฉงนมองสวนมา จนฉันแทบลืมไปเสียแล้วว่า เป็นเวลานานเท่าไหร่ที่เฝ้าลอกสิ่งที่ไหลหลั่งออกมาจากหัว ลงสู่สมุดปกลายไทย…แต่ยังไง ฉันก็จะต้องทำมัน

“พี่ช่วยเลือกให้เราหน่อยได้ไหมฮะ”

 

นายจ้างรับสมุดของฉันไป พลิกดูคร่าวๆ ละม้ายจะอ่านผ่านตาสองสามหน้า แล้วยื่นคืนให้

“จะส่งไปที่ไหน”

“นิตยสาร…วัยหวานฮะ”

“เอาสิ” คำพูดเรียบๆ ตอบกลับมา “อยากส่งก็ส่งไป แต่ถ้าไม่ได้ลงอย่าเพิ่งเสียใจก็แล้วกัน”

ใจฉันหายวูบ

“…มัน…มันยังไม่ดีใช่ไหมฮะ”

“เอ้า ผมไม่ใช่ บ.ก. นี่ จะตัดสินให้คุณได้ยังไง…ถ้าคุณอยากส่งไปก็ลองดู”

“…”

“เอาอย่างนี้ ที่คุณเขียนมาน่ะ ชอบบทไหนที่สุด”

ฉันนิ่งงันไป ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร

ชอบบทไหน…ฉันย่อมชอบทุกบทที่สะกดตัวหนังสือเขียนออกมา เพราะว่า…ฉันเป็นคนเขียนมันทั้งหมดเอง

“รู้ละ คุณไปยืนตรงนั้นหน่อย” มือชี้ไปที่ข้างผนัง มีโต๊ะกลมตัวหนึ่งอยู่ข้างตู้ไม้

“เลือกบทที่อยากจะส่งไป แล้วอ่านให้ผมฟัง”

 

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครสักคนหนึ่งบนโลกใบนี้ กำลังยินดีจะฟังบทกวีของฉัน แทบจะเหมือนล่องลอยไปบนอากาศอันอ่อนนุ่ม กลัวไหม…กลัวสิ ฉันกลัวเหลือเกินว่าสิ่งเหล่านี้ ที่แท้จะเป็นแค่เพียงความฝัน

ฉันใช้เวลาเกือบทั้งคืน นั่งจดบทกวีที่เคยแต่งเอาไว้ในหัว เป็นความลับเล็กๆ ที่ฉันคอยจดจำและท่องมันซ้ำซากเอาไว้

ใบเขียวแตกอีกหนึ่งใบ ฉันตัดสินใจแลกมันกับสมุดมาถึงสองเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม มันคือภารกิจสำคัญ

“อ่านเลย”

ได้ยินเสียงข้ามห้องมา พยายามสูดลมหายใจลึกๆ รีบเปล่งเสียงออกไป

“…บทนี้”

ช่างโชคดีเสียจริงๆ ที่ยังไม่มีใครเข้ามาในร้านเช่าหนังสือเลย มีเพียงฉันกับชายที่ไล้นิ้วกับปลายผมเปียของตัวเองช้าๆ ดั่งว่ากำลังจะดูการแสดง

“ชื่อบทว่า…แววตะวัน”

“…แววตะวันวาดฟ้า

หยาดน้ำตาใครคนหนึ่ง

ความสับสนในห้วงคำนึง

คือภาพฝันตราตรึงจากเมื่อวาน

รู้…เธอทุกข์ระทม

ฝันแล้งลมล้วนเลยผ่าน

ทรงจำและตำนาน

ชีวิตคือความยากไร้

ก่อนนั้นเราฝันว่า

ตะวันลาเพื่อมาใหม่

รอยยิ้ม น้ำตาใด

ล้วนเปลี่ยนไปตามช่วงกาล

หากวันแล้ววันเล่า

เรื่องเก่าเก่ายังเล่าขาน

นักฝันแดนกันดาร

ถูกประหารเสมอมา

ประหารด้วยฝันสวย

อีกคมดาบปรารถนา

ผู้มีทรัพย์ วิชา

อำนาจเขาเราหรือทัน…”

มีเพียงความเงียบเท่านั้น เมื่อฉันเอื้อนเสียงสุดท้ายหายเข้าลำคอ อกร้อนผะผ่าวราวจะเป็นไข้

ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความอาย แต่มันคือความหวั่นไหวจนถึงที่สุด

…มีมนุษย์คนหนึ่ง กำลังฟังถ้อยคำของฉัน

“จบแล้วหรือ”

“…ฮะ”

“เหมือนยังไม่จบนะ” ตามองฉันอย่างชั่งใจ “มีบทอื่นอีกมั้ย”

“มีฮะ”

“งั้นก็ว่าไป…อีก”

อกฉันเต้นระรัว

“หนึ่ง,

เพียงได้กะพริบวิบวับ

ประดับคืนข้างแรม

แต่งแต้มสีสัน

ความฝันใครสักคนก็สุขใจ

ไม่หวังจะเป็นดวงดาว

พร่างพราวบนฟากฟ้าคืนไหน

ขอเป็นเพียงหิ่งห้อย

บินล่องลอยอยู่ใกล้ใกล้

วอมแวมในหัวใจเธอ

สอง,

ขอเป็นดอกหญ้าสีขาว

บานพราวเพื่อคนยากจนเสมอ

ยามเธอขาดไร้

ทรัพย์สินใดก็เกินไขว่คว้า

ขอฉันได้เป็นดอกหญ้า

บานงามอยู่ในดวงตา

หากเธอแซมผม ดมดอม

ฉันจะกรุ่นกลิ่นหอมปลอบโยน

สาม, หรือเป็นลำธาร

ไหลรินระหว่างทางผ่านของคนเดินทาง

ที่หวังจะไปฟ้าไกลโพ้น

ฉันจะเย็นชื่น อ่อนโยน ช่วยเธอดับกระหาย

วางความเหนื่อยอ่อน ร้าวรอนมาให้ฉัน

แบ่งปันพลังจากฉันไป

หลับตาสิ สายน้ำเย็นใส

จะโลมไล้ให้เธอชื่น…”

มีความเงียบเกิดขึ้นอีกคราว ก่อนนายจ้างจะลุกจากเก้าอี้

“คุณน่าจะเขียนได้ดีกว่านี้อีก อย่างบทเมื่อวาน”

“…อาหารนะเหรอ”

“นั่นแหละ”

“…งั้นจะส่งบทนั้นไป”

“อ่านหนังสือที่ให้ไปบ้างหรือยังล่ะ”

“…เอ้อ ยังฮะ”

“ลองอ่านดูก่อนสิ จะได้ดูวิธีการเขียนของคนอื่นเขา…อ้อ เอาเล่มนี้ไปอีกก็ดี”

ลุกไปรื้อค้นแถวชั้นหนังสือเพียงครู่ นายจ้างผมถักเปียก็กลับมา

หนังสืออีกเล่มยื่นมาให้ ปกมีตัวหนังสือว่า “ราช รังรอง” และตัวหนังสือใหญ่ๆ บรรทัดที่สอง “ขอบกรุง”

“จะสลับมาอ่านเล่มนี้ก่อนก็ได้”

ไม่มีคำพูดยืดยาวเช่นเคย แล้วนายจ้างผู้แปลกประหลาดที่สุดก็ทำท่าจะลุกขึ้น

“เอ้อ…” ฉันอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ปิดปากลง

ฉันยังคงไม่อาจพูดออกไปได้ว่า โดยฉับพลัน พี่โฟบอกว่าไม่ต้องลางานแล้ว แต่ให้ออกเลยดีกว่า

เพราะว่า…พ่อสั่งความคนมาบอก มีบางเหตุการณ์เกิดที่บ้านนอก ตอนนี้แม่ขาหัก เร็วหรือช้าฉันก็จะต้องกลับไป