กวนเกษียรสมุทร ‘ไทย-เขมร’ กับบทเรียน ICC

อภิญญา ตะวันออก

ต้องเล่าว่า เมื่อ “องค์วิสามัญศาลกัมพูชา” (Extraordinay Chambers in the Court of Cambodia / ECCC) หรือ อวตก.ไต่สวนอดีตผู้นำเขมรแดงได้ ก่อตั้ง “ห้องศาล” ขึ้น ณ ชานกรุงพนมเปญ โดยองค์คณะชุมนุมชำระคดีเขมรแดงหมายเลข 001 และ 002 ดำรงอยู่ยาวนานร่วม 15 ปี

เมื่อภารกิจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แห่งกรุงเฮกที่กัมพูชาได้ลงสัตยาบันไว้สิ้นสุดลง อวตก.เขมรก็ถึงกาลปิดสำนักงานไปด้วย โดยมีผลงาน อดีตผู้นำเขมรแดงคนสุดท้าย นายเขียว สัมพัน รับโทษทัณฑ์อยู่ในเรือนจำจังหวัดกันดาลในขณะนี้

แต่ ECCC กัมพูชา ก็ยังไม่ถึงกับทิ้งภารกิจไปทั้งหมด โดยเฉพาะการถอดบทเรียนด้านการศึกษาในคดีดังกล่าว

และตรงนี้แหละที่ฉันขอเรียนว่า บัดนี้ ประวัติศาสตร์อันปวดร้าวของชาวเขมรนั้น ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่โดยผลพวงจาก อวตก.นั่นเอง เนื่องจากไม่มีการถอดบทเรียนคดีการใช้อำนาจของฝ่ายรัฐ ทำลายล้างเกียรติชีวิตความเป็นมนุษย์อย่างจริงจัง

และด้วยหลักเหลี่ยมผู้นำกัมพูชา ทำให้องค์กรนานาชาติที่อ้างว่าตั้งเพื่อผดุงความยุติธรรมแก่มวลมนุษยชาติ กลับตายซากน้ำตื้นที่กรุงพนมเปญนี่เอง

เพราะอะไรน่ะหรือ?

กล่าวคือ หลังจากยืดเยื้อไต่สวนองค์ชุมนุมชำระคดีที่มีกรมกองหน่วยงานใหญ่โตตลอด 15 ปีที่ว่า ได้ทำให้ อวตก.กัมพูชาไม่ต่างจากองคาพยพทางการเมืองอื่น โดยเฉพาะบุคลากรท้องถิ่นที่ทำงานกินเงินเดือน ICC แต่ทว่ารับใช้ระบอบฮุนเซน

เนตร เพียะตรา รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสาร สมัยเป็นโฆษกศาลเขมรแดง (eccc)

นี่คือความแยบยลยิ่งนัก สำหรับอดีตรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน ที่ช่างมีวิสัยทัศน์ในการปกป้องอำนาจ ตลอดจนอาศัย ECCC/อวตก. ลบล้างมลทินฝ่ายตน

เราแทบจะมองไม่เห็นประเด็นนี้เลย กระทั่งจนเมื่อสมเด็จธิบดีฮุน มาแนต ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสาร คือ นายเนตร เพียะตรา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นโฆษก/อวตก.มานานครันนี่เอง

เพราะไม่ช้า “สำนัก อวตก.” ที่มีคณะบุคคลหลายฝ่ายเข้าไปทำงาน ก็แผลงอิทธิฤทธิ์สรรเสริญคุณงามความดีของรัฐบาลระบอบฮุนเซนที่ให้คุณแก่ตนนั่นเอง

และแทบจะทันทีที่ เนตร เพียะตรา อดีตคนขององค์กรแห่งนี้ ก็เริ่ม “แก้ต่าง” และบิดเบือนประวัติศาสตร์ให้แก่รัฐอำนาจอย่างสยบยอม อย่างที่ไม่มีใครเลยจะมองเห็น

ว่าที่จริงแล้ว ระบอบฮุนเซนก็เคยทำ “สังฆกรรม” ร่วมกับระบอบเขมรแดง จึงไม่ควรที่พวกเขาจะป้ายความด่างพร้อยให้แก่ระบอบกัมพูชาประชาธิปไตยแต่ฝ่ายเดียว!

เครดิตภาพ : @southchinamorningpost

เราไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า สมเด็จฮุน เซน นั้นปราดเปรื่องมองลึกเข้าไปถึงนัยยะดังกล่าวได้อย่างไร ในการแปลงสารประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้ตัวเองพ้นจากปมความผิดใดๆ ว่าด้วยการฆ่าล้างชาวเขมรระหว่างปี ค.ศ.1975-1979 โดยอาศัยช่องทางนี้ จากการที่ ICC มาตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศที่นี่!

ฮุน เซน ทราบดี การไต่สวนที่ใหญ่โตของศาลอาญาระหว่างประเทศครั้งนี้ จะส่งผลต่อระบอบของตนอย่างไรบ้าง? และนั่นก็ทำให้เขาเดินเกมเจรจาบนจุดยืนที่แข็งกร้าวมายาวนาน (2000-2006) ให้การไต่สวนเกิดขึ้นในราชอาณาจักร “กัมพูชา” เท่านั้น!

ส่งผลให้ อวตก.กลายเป็นศาลลูกผสมในองคาพยพทั้งหมด ซึ่งเท่ากับได้เปิดทางการทดลอง เรียนรู้ และแทรกแซงศาล ไม่ต่างจากภาพสลัก “กวนเกษียรสมุทร” แห่งน้ำนมทะเลที่ปราสาทนครวัด และเป็นพิธีกรรมของการต่อสู้ระหว่าง “เทพกับมาร”

เริ่มจากแต่งตั้งคนของตนไปนั่งใน “อวตก.” ทุกองคาพยพ ตั้งแต่ประธานสูงสุด-ผู้พิพาษานิล นล จนถึงส่วนองค์คณะต่างๆ รวมทั้งท่านโฆษกคนนั้น

ทุกอย่างมีผลพวงที่สอดคล้องต้องกัน ตั้งแต่คดีอดีตผู้นำเขมรแดง (001/002) ไปจนถึงการขัดขวางการทำงานของอัยการต่างประเทศ ส่งผลต่อคดี 004 ที่มีคณะบุคคลในรัฐบาลฮุน เซน ไม่อาจดำเนินไปได้ และทำให้คณะบุคคลของฮุน เซน อย่างเจีย ซิม, เฮง สัมริน, เกียด ชน, ฮอร์ นัมฮอง ที่เคยอยู่ในรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (ระบอบพลพต) หลุดทั้งยวง

เครดิต : @ASEAN Skyline
เครดิต : @ASEAN Skyline

เมื่อคณะอัยการจากไอซีซีที่ส่งมาทำงาน ไม่สามารถไปต่อได้ในการแสวงหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว ทำให้ “004” คือความล้มเหลวของ “ECCC/ICC” ที่รู้ตัวว่าพลาดไปมากต่อการยกคณะสะสางคดีมาทำงานที่กัมพูชาที่เต็มไปด้วยปัญหาและค่าใช้จ่าย แทนที่จะเป็นกรุงเฮก?

ด้วยความยากลำบากในการลงพื้นที่ การถูกจับตาโดยคนของรัฐบาลกัมพูชาที่สอดส่องและขัดขวางการทำงานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกปกปิดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของ ICC ที่โลกรับรู้

ICC ในรูป ECCC หรือ “อวตก.” กัมพูชา แท้จริง-ล่มไปตั้งแต่แรกก่อนหน้า แต่นั่นกลับไม่เท่ากับว่าองค์กรลูก ICC แห่งนี้ กลับกลายเป็นซอฟต์เพาเวอร์ “ตัวใหม่” ที่ถูกนำไปใช้ “ต่อยอด” ความสง่างามด้านประวัติศาสตร์ของระบอบฮุนเซน จากระบอบร่วมที่โหดร้าย มาเป็น “ผู้บูรณาการ” สังคมประเทศ

เครดิต : @ASEAN Skyline
เครดิต : @ASEAN Skyline

โดยอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา 2 ระบอบ (เขมรแดง-เฮง สัมริน) ซึ่งมีฮุน เซน เป็นผู้นำสังฆกรรมและกำหนดชะตากรรมประวัติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนได้อย่างเหลือเชื่อ เรียกว่า สามารถลูบคมองค์กรสากลผดุงสิทธิมนุษยชนสากลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้อย่างง่ายดาย!

เห็นชัดว่า นี่คือการสังหารหมู่ชาวกัมพูชารอบ 2 หลังจากที่เขมรแดงเคยกระทำเมื่อ 48 ปีก่อน

นี่มันเป็นการ “ว่าความ” การเมืองนอกศาลอาญาระหว่างประเทศชัดชัด!

ฮุน เซน ช่างเก่งกาจด้านการทำลายฝ่ายศัตรูของตนทุกรูปแบบ ทั้งคนในและคนนอก ทั้งท้องถิ่นและสากล

เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังทำให้การพิพากษาคดีใน อวตก.อ่อนแอลง ตั้งแต่การแทรกแซงอันแยบยล และเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์กลับมาเป็นประโยชน์สู่ตนเอง ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสเอาการสะสางคดีเขมรแดงมาเป็นเครื่องมือบูชาตนเอง!

ด้วยการสร้าง “Win-Win ชนะ-ชนะ อนุสรณ์สถาน” ปิดบัญชีเขมรแดงให้สิ้นซากแต่ฝ่ายเดียว ขณะเดียวกันก็ “บิดเบือน” ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในความสำเร็จแห่งการสร้างตามระบอบของตน

โดยมี ICC ยอมรับ ประทับตรา หรือรู้เห็นเป็นใจ?

เครดิต : @กระทรวงข่าวสารกัมพูชา
เครดิต : @กระทรวงข่าวสารกัมพูชา

ฉันคิดว่า เขมรยังไม่เคยถึงขั้น “ถอดบทเรียน” ประวัติศาสตร์สมัยเขมรแดงเลยด้วยซ้ำ ทว่า มันกลับซับซ้อนไปอีกขั้น สำหรับระบอบฮุนเซนที่กลายเป็นผู้ชนะไปทุกรูปแบบแห่งระบอบต่างๆ

ซ้ำร้ายกว่านั้น คือการทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศที่เป็นเหมือน “ตุลาการ” โลก กลายเป็นเครื่องมือส่งเสริมการบิดเบือนนั้นอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ ที่รัฐอำนาจของตนสามารถบงการ ตลอดจนการริเริ่มก่อสร้างอนุสรณ์สถาน โดยถือเอาวันจับกุมผู้นำเขมรแดงขึ้นศาล อวตก.เป็นฤกษ์ชัยเมื่อ 2 ปีก่อน

ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นการ “ลั่นกลอน” การถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ส่วนนี้ที่เจ็บปวดในยุคหนึ่งของชาวกัมพูชา อย่างเลือดเย็นยิ่งกว่าการสังหารหมู่ครั้งที่ 2?

เพียงเพื่อเชิดชูผู้นำรัฐอำนาจในระบอบปัจจุบัน ให้อยู่เหนือความไม่ชอบธรรมใดๆ อันเกิดจากการร่วม “กระทำ” ของฝ่ายตน ออกไปจากข้อเท็จจริง ด้วยการบิดเบือนทำลาย “ประวัติศาสตร์บาดแผล” ที่เป็นผลพวงจากปัญหาเขมรแดง

จึงไม่ยุติธรรมเลย ที่องค์กรสากลอย่าง ICC จะมีส่วนร่วมกับการ “ฟอกขาว” ครั้งนี้ โดยยัดเยียดความผิดพลาดในประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชาไปเป็นความรับผิดชอบแก่กลุ่มเขมรแดงที่ตนพิพากษา และปล่อยให้ผู้นำกัมพูชานำผลลัพธ์ดังกล่าวไปสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง

เป็น “หอเกียรติยศ” แห่ง “ชัยชนะ” Win-Win ตลอดกาลแห่งความสำเร็จ!?

เครดิต : @กระทรวงข่าวสารกัมพูชา

จึงไม่ประหลาดใจที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เลือกที่จะไปเยือนกัมพูชาเป็นประเทศแรก อย่างเป็นทางการ แต่ว่ามันได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากต่อชาวเขมรบางฝ่าย โดยเฉพาะ กลุ่มที่หนีเข้ามาประเทศไทย

ว่าไปก็ไม่ต่างกรณีอุ้มหาย 3 ปีก่อนของ “ต้าร์” วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ คนใกล้ชิดพรรคเพื่อไทยที่ลี้ภัยในกรุงพนมเปญ เพราะชาวเขมรบางรายที่ผ่านมาได้ถูกคุมตัวกลับประเทศโดยคนของรัฐที่จับกุมในประเทศไทย

นายฟิล โรบินสัน ผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชน Human Right Watch นั้น ถึงกับปรามาสรัฐบาลไทยว่า มีการปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขมรเข้ามาจับกุมคนของตนไม่ต่างจากการคุกคามบูรณภาพบนดินแดนของไทยในสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชา

และให้วิตกว่า การกระทำลักษณะเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่? ในรัฐบาลเศรษฐา?

ให้กลับไปอ่านสำเนา “อวตก.” ที่ฮุน เซน กระทำกับ ICC!?