คณะทหารหนุ่ม (60) | บันทึกเบื้องหลัง“กบฏยังเติร์ก” พล.อ.เปรม บอก“ยิงผมให้ตายแล้วปฏิวัติไป”

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

31 มีนาคม : กรุงเทพมหานคร

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ “ผมปฏิวัติไม่ได้”

ค่ำนั้น ที่บริเวณสนามหน้าบ้านพักสี่เสา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งสนทนากับ พ.อ.มนูญ รูปขจร กับ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร เล่าไว้ใน “รัฐบุรุษชื่อเปรม” ว่า

“มนูญกับประจักษ์มากัน 2 คน ก็ถามเขาว่าจะปฏิวัติทำไม เขาบอกว่า ผมทำเพื่อป๋าและก็ขอเชิญป๋าเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ผมก็บอกว่าผมไม่ปฏิวัติหรอก ผมปฏิวัติไม่ได้ และไม่ต้องการปฏิวัติด้วย ขอให้เลิกคิดเลิกทำเสีย หรือไม่งั้นก็ยิงผมให้ตายเสียแล้วก็ปฏิวัติกันไป ก็นั่งคุยกันเหมือนไม่ใช่การปฏิวัติอย่างนั้นน่ะ

แล้วมนูญก็บอกว่าเขาจะไปกองทัพภาคที่ 1 ตอนนั้นคุณวศิน พล.ท.วศิน อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นแม่ทัพ ประจักษ์ก็นั่งคุยกับป๋าอยู่ตรงนี้ บวร (พ.อ.บวร งามเกษม) ก็คุยกับหมง (พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์) อยู่ข้างนอก”

ดังนั้น หลังจากได้รับคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาดจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แล้ว พ.อ.มนูญ รูปขจร จึงแยกตัวออกไปจากบ้านสี่เสาว่าจะไปพบ พล.ท.วศิน อิศรางกูร ณ อยุธยา แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมี พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร และเพื่อน จปร.17 รวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาอีกจำนวนหนึ่งปักหลักอยู่ที่บ้านพักสี่เสาพร้อมกับกำลังติดอาวุธที่เหลืออยู่

 

พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เล่าต่อไปว่า…

“เหตุการณ์ผ่านเลยไปจนดึกมากแล้ว ป๋าขึ้นไปข้างบน ผมก็สั่งให้สองคนนั้นนั่งเฝ้าที่บันไดทางขึ้น แล้วผมก็เรียนกับป๋าว่าเด็กสองคนนั้นยังอยู่ ป๋าก็ให้ผมไปเรียกมา เขาก็ทำหน้าที่ของเขาโดยดูแลป๋าตลอดเวลาทุกๆ ที่ๆ ไป จนเหตุการณ์สงบลง”

พล.ต.บุญสืบ คชรัตน์ เล่าเสริมว่า…

“เมื่อป๋าขึ้นไปข้างบน พี่หมงก็บอกให้ผม 2 คนอยู่ตรงบันไดแล้วก็ห้ามใครขึ้นไปโดยเด็ดขาด ตอนนั้นยังไม่มีพวกพี่ยังเติร์กตามขึ้นไปเลย ส่วนข้างล่างทหารก็ยังอยู่กันตามปกติ ป๋าเข้าไปในห้องนอนแล้วก็เดินเข้าไปที่ห้องทำงาน หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง พี่ พ.อ.ประจักษ์ ก็ถูกเรียกตัวขึ้นไป”

อย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ว่า “ก็นั่งคุยกันเหมือนไม่ใช่การปฏิวัติ” นั้น ในทัศนะของ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ กลับเห็นแตกต่างออกไป

“ผมว่านั่นเป็นการควบคุมตัวนะครับ ในฐานะที่ผมเป็นนายทหารคนสนิทป๋า ผมไม่สบายใจเลยที่มีใครต่อใครก็ไม่รู้เต็มไปหมดอยู่หน้าบ้าน มีอาวุธพร้อม จักรพงษ์ (พ.อ.จักรพงษ์ พงษ์สุวรรณ) หัวหน้าซีเคียวริตี้ของป๋าก็อยู่ แล้วก็มีพี่บวร กับพี่วีรยุทธก็สะพายปืน เข้าใจบรรยากาศไหมครับ จะบอกว่าไม่คุมตัวก็ใช่ ไม่คุมตัว แต่บรรยากาศมันไม่ทำให้สบายใจ”

 

พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ กล่าวอีกว่า

“ในฐานะที่ทำงานอยู่กับนาย เป็นนายทหารคนสนิทของนายคนหนึ่ง ย่อมจะเข้าใจและรู้จักนิสัยใจคอและอารมณ์ของนายเป็นอย่างดี มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ผมจับใจความได้แล้วไม่สบายใจเลยคือป๋าพูดว่า…เอาปืนมาให้ป๋าสิ จะยิงตัวเองให้ตายเลย แล้วจะทำอะไรกันก็ทำไป ผมรีบไปบอกไพโรจน์ว่าปืนอยู่ที่ไหนให้เก็บให้หมดเดี๋ยวจะยุ่งไม่ดี”

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กล่าวถึงเรื่องในภายหลังว่า ท่านพูดว่า “ถ้าจะปฏิวัติ ก็ยิงผมให้ตายเสียก่อน” ประโยคที่ พล.อ.มงคล ได้ยินมานั้น น่าจะจับใจความคลาดเคลื่อนไป

การต่อรองระหว่างนายทหารหนุ่มโดย พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้เจรจากับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต่อจาก พ.อ.มนูญ รูปขจร ให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัตินั้นใช้เวลาอีกยาวนาน ซึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยังคงยืนยันปฏิเสธ

“นอกจากจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้ว ท่านยังไล่ให้นายทหารเหล่านี้กลับไปเสียแล้วจะไม่เอาเรื่องไม่เอาโทษทางวินัยที่เอากำลังออกมาโดยไม่ได้รับคำสั่ง”

“ป๋าก็เดินอยู่หน้าบ้านนี่เอง ไม่ได้ไปไหน เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่นั่นแหละ บางครั้งก็เข้ามาที่ห้องรับแขกแล้วก็เดินไปข้างล่าง พวกนั้นก็เดินตาม ท่านก็ปฏิเสธตลอดเวลา ผมก็เดินอยู่ใกล้ๆ ท่าน ก่อนที่ท่านจะขึ้นไปชั้นบน”

โปรดให้ความสนใจเป็นพิเศษอย่างยิ่งกับการที่ พ.อ.มนูญ รูปขจร แยกตัวออกไปจากบ้านสี่เสาว่าจะไปพบ พล.ท.วศิน อิศรางกูร ณ อยุธยา แม่ทัพภาคที่ 1 เพราะเหตุการณ์จะไม่ยุติลงทั้งๆ ที่ทราบจากปากของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ร่วมปฏิวัติด้วย

พ.อ.มนูญ รูปขจร จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการไขความจริงของเหตุการณ์ที่จะกลายเป็นกบฏนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

31 มีนาคม พ.ศ.2524 : นครราชสีมา

พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ได้บรรยายแก่นายทหารกองทัพภาคที่ 2 หลังเหตุการณ์สงบลง ดังปรากฏใน “บันทึกการปฏิวัติ 1-3 เมษายน 2524 กับข้าพเจ้า” ของ บุญชนะ อัตถากร โดยมีละเอียดดังนี้…

“ข่าวจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นโดยคณะนายทหารกลุ่มหนึ่งเพื่อมุ่งหมายจะล้มล้างการปกครองเพื่อแก้ปัญหา ผมพยายามสดับตรับฟังมาโดยตลอด เริ่มมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น

ผมก็ได้ไปพบผู้บัญชาการทหารบก ผมเรียนท่านขอให้ระมัดระวัง มีบุคคลจะคิดล้มล้างรัฐบาล ผู้บัญชาการทหารบกท่านรับฟัง แต่ตอนที่ผมพูดนั้นท่านคงไม่เชื่อผมมากนักเพราะว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดท่านทั้งนั้น ท่านเลี้ยงมาด้วยมือ โตมาด้วยมือของท่านเอง ท่านไม่เชื่อแต่ท่านฟังผม ท่านเกรงใจผม ท่านฟังผม แต่ท่านคงไม่มั่นใจ

เมื่อไม่มั่นใจผมขอคำมั่นสัญญาจากท่านอย่างหนึ่งในฐานะที่ผมอยู่กองทัพภาคที่ 2 ผมขอคำมั่นสัญญาจากท่านว่า ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นถึงขั้นปฏิวัติผมไม่ยอม ผมพูดกับท่านว่าถ้าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น ท่านจะต้องปฏิวัติเอง ผมจึงจะร่วมมือ ท่านให้สัญญากับผมได้ไหม และเมื่อเกิดการปฏิวัติแล้ว ท่านต้องไปอยู่กับผม ผมจะต่อสู้ ท่านก็บอกว่า ‘ตกลงขอให้สัญญา’ และผมขอยืนยันว่า ถ้าผมปฏิวัติผมจะต้องบอกคุณอาทิตย์เป็นคนแรก

นี่คือคำมั่นสัญญาของลูกผู้ชายที่ให้ต่อกันไว้

ผมเข้ามาอยู่นครราชสีมาและมายุ่งเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารจนกระทั่งวันที่ 31 มีนาคม ผมกินยาระงับประสาทไปครึ่งเม็ดเพราะตั้งใจจะนอนให้เต็มที่ ตื่นรุ่งเช้าจะได้ไปลุยให้กับการเกณฑ์ทหารจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ กะว่าจะให้สัก 7 วัน ผมกินยาเข้าไปโดยไม่ได้ขออนุญาตหมอ คือยามันมีอยู่แล้ว ผมก็กินเข้าไป”

 

01.00 น.

“ผมตื่นขึ้นกลางดึก เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊ง เรียกผมให้ตื่นประมาณ 01.00 น. มีนายทหารซึ่งผมได้วางสายไว้ที่กรุงเทพฯ โทร.มาบอกว่า ‘พี่ยุ่งแล้ว’ ผมก็งงเมื่อตื่นขึ้นมา กินยานอนหลับเข้าไปคิดดูจะเป็นอย่างไร

ผมถามว่า ‘ยุ่งอะไร’ ผมนึกว่าน้องมันโทร.เข้ามา ไม่รู้ว่าใครโทร.มา ผมถามว่า ‘ยุ่งอะไร’ เขาบอกว่านายกฯ ถูกคุมตัวไว้แล้ว ผมบอก ‘อ้าว เร่งให้ท่านออกมาซี’ เขาบอกว่า ‘เข้าไปไม่ได้’ ผมถามว่า ‘ทำอย่างไรล่ะ’ เขาบอกว่า ‘พี่ลองแก้ไขเอาเองก็แล้วกัน’

ตัวผมงงและงุ่นง่านไปหมดเลยครับจะทำอย่างไรล่ะ งุ่นง่านไปหมดเลย ผมบอกว่าไอ้คอปเตอร์ที่เตรียมไว้แล้วให้เอาออกได้ไหม บอกว่า ‘ไม่ได้ครับ มันคุมประตูไว้หมดเลยทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เข้าไม่ได้เลย’ ผมก็วางหูโทรศัพท์

ผมนั่งคิด ผมไม่ยอมแน่ๆ ผมจะหาวิธีแก้ไข ในที่สุดผมก็โทรศัพท์ไปบ้านผู้บัญชาการทหารบก ขอพูดกับผู้บัญชาการทหารบก ทส.ของท่านมารับสาย ท่านก็มาพูดกับผม ผมถามท่านว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง’ ท่านก็บอกว่า ‘กำลังยุ่ง’

ผมก็บอกว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องออกจากบ้านท่านไปเฝ้าฯ ในหลวงเดี๋ยวนี้ แล้วให้มาอยู่กับผมที่ค่ายกองทัพภาคที่ 2 พร้อมที่จะต่อสู้’

เสร็จแล้วผมก็วางหู แล้วผมก็ต่อโทรศัพท์ไปในวังให้คนนำความกราบบังคมทูลให้ทรงทราบต่อไป ผมก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ในวังก็ไม่มีใครรู้ เพราะว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เตรียมที่จะเสด็จไปเขาล้าน สมเด็จพระบรมฯ ก็เตรียมไปรับเสด็จที่เขาล้าน ทุกพระองค์ก็เตรียมที่จะเสด็จไปเขาล้านทั้งหมด ไม่มีใครเตรียมการอะไรในเรื่องนี้

 

ผมโทร.ไปทีแรกก็ยังไม่มีใครกล้าไปกราบบังคมทูล ผมก็บอกว่าต้องไปกราบบังคมทูลเดี๋ยวนี้ บอกว่า พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก จะพูด จะกราบบังคมทูลมีเรื่องสำคัญด่วนมาก ในที่สุดก็สำเร็จ ผมก็ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังอะไรต่างๆ แล้วก็บอกว่าขอให้ทรงเรียก พล.อ.เปรม มาเข้าเฝ้าฯ ขณะนั้นเขาไม่ยอมให้ท่านนายกฯ ออกมา

เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบ พระองค์ทรงโทรศัพท์ไปถึง พล.อ.เปรม บอกว่าให้มาเฝ้าฯ ในหลวงเดี๋ยวนี้ ผลที่สุดก็แหวกวงล้อมมาได้ ก็ขับรถพาท่านออกมาจากประตูโดยเขาตกตะลึงอยู่ ในที่สุดท่านนายกฯ ก็เข้ามาในวังได้

พอผมทำขั้นที่ 1 ได้สำเร็จคือขั้นเข้ามาในวังได้ ผมก็โล่งอกแล้วผมก็ได้ดำเนินการขั้นต่อไป”

ขณะที่ พ.อ.มนูญ รูปขจร นำคณะทหารหนุ่มเดินหน้าเข้ายึดพื้นที่สำคัญในกรุงเทพมหานครตามแผนยึดอำนาจต่อไป…