33 ปี ชีวิตสีกากี (40) | สืบจากศพ…(ฉบับตำรวจ) และอำพรางตบตาเจ้าพนักงาน

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

แนวทางการสืบสวนหาตัวคนร้ายและพยานหลักฐาน

1. การสืบสวนยังที่เกิดเหตุ จะมีพยานหลักฐาน บุคคล อยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น อาจมีบัตรประจำตัว อาวุธที่ทำร้าย เช่น มีดปักคาอกอยู่ ต้องตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน

2. สืบจากบุคคลที่อาจจะรู้หรือเห็นเหตุการณ์ อาจจะนำเสื้อผ้าของคนตายไปสอบถามบุคคลที่อาจจะรู้ เช่น ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง

3. มูลเหตุหรือสาเหตุที่เกิดขึ้น เช่น อาจจะมาจากการแบ่งมรดกไม่เท่ากัน หรือฆ่าผิดตัว แทงผิดตัว

4. การสืบสวนแผนประทุษกรรมของคนร้าย โดยการเก็บประวัติของคนร้าย โดยเอาเจ้าทุกข์ไปดูรูปถ่ายของคนร้าย

 

การบันทึกสภาพของศพ

1. ศพหรือผู้ตายนั้นอยู่ในอิริยาบถอย่างไร เช่น นั่งตาย นอนตาย อาจจะนอนตะแคงตาย นอนคว่ำ หรือยืนตาย เช่น ผูกคอตาย

2. เสื้อผ้าอยู่ครบบริบูรณ์หรือไม่ หรือเปลือยกาย หรือใส่กางเกง

3. สภาพของเสื้อผ้าเป็นอย่างไร เช่น ยับยู่ยี่ ฉีกขาด

4. แขนทั้งสองข้างของศพอยู่ในลักษณะใด มีรอยบาดแผลหรือไม่ มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหรือไม่

5. ศีรษะหันไปทางไหน

6. มือทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะใด กำ หรือแบ อาจจะกำมือและมีซองจดหมาย

7. ในมือมีอาวุธหรือวัตถุใด นิ้วมือหรือซอกเล็บ มีหนังกำพร้าหรือเส้นผม เส้นขน ติดอยู่หรือไม่

8. หน้าหรือศีรษะมีรอยฟกช้ำ หรือบาดแผลอย่างไรหรือไม่

9. ปากมีกลิ่นสุรา, ยาพิษหรือไม่

10. มีโลหิตไหลออกมาจากปากหรือไม่

11. ควรตรวจดูบริเวณหู หรือกกหู ว่ามีรอยฟกช้ำหรือบาดแผลหรือไม่

12.จมูกควรจะตรวจดูว่า มีกลิ่นสุรา หรือยาพิษเหมือนปากหรือไม่ มีเลือดหรือไม่

13. คอมีรอยฟกช้ำ ถูกบีบรัด มีรอยบาดแผล รอยเชือกหรือไม่

14. ร่างกายมีรอยฟกช้ำหรือบาดแผลหรือไม่

15. เสื้อผ้ามีรอยอาวุธหรือไม่ มีคราบโลหิตเปื้อนหรือไม่

16. อาการไหลของโลหิต บันทึกให้ละเอียด ควรถ่ายภาพไว้ด้วย

ทุกๆ ข้อ พนักงานสืบสวนสอบสวน ต้องรีบจัดการดำเนินการให้เรียบร้อย หากหลงลืม ไม่ดำเนินการ จะย้อนกลับไปทำภายหลัง ทำไม่ได้แล้ว เพราะทุกอย่างถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว หรือมีการย่อยสลายไปตามเวลา และจะเกิดความเสียหายต่อการรวบรวมพยานหลักฐานมาก

คดีสำคัญจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เลย ในการปฏิบัติต่างๆ ต้องพิจารณาเป็นคดีๆ ไปให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด

 

ขั้นตอนในการสืบสวนคดีฆาตกรรม มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1. ต้องสืบสวนให้ทราบเสียก่อนว่า ผู้ตายคือใคร

2. ตายอย่างไร ถูกกระทืบตาย ถูกซ้อมตาย ถูกแทงตาย

3. ใครทำให้ตาย หรือผูกคอตายเอง

*คำให้การของผู้ใกล้จะตาย จะต้องจดบันทึกไว้เพราะศาลรับฟัง (กฎหมายลักษณะพยาน)*

เมื่อมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ขั้นตอนในการปฏิบัติที่จะต้องปฏิบัติ คือ

1. ห้ามผู้ที่มิได้เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งในที่เกิดเหตุ เพราะอาจจะเข้าไปทำความเสียหายแก่พยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ

2. ถ้าที่เกิดเหตุ ไม่ได้อยู่ในเคหสถาน ต้องกันคนออกไป ส่วนศพนั้นให้ใช้ผ้าคลุมไว้ โดยเตรียมผ้าไปด้วย (ซึ่งถือเป็นกุศลอย่างยิ่ง อย่าใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นอันขาด)

ศพนอกเคหสถาน อาจมีสิ่งภายนอกมาทำลายพยานหลักฐาน ควรหาผ้ามาคลุมเพื่อป้องกันไว้

3. จัดการถ่ายภาพศพและบริเวณที่เกิดเหตุ

4. ทำแผนที่สังเขปของสถานที่เกิดเหตุเอาไว้

5. ตรวจค้นหาร่องรอยพยานหลักฐานต่างๆ บริเวณที่เกิดเหตุและร่างกายของศพอย่างละเอียด

6. ในขณะที่ทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ถ้ามีผู้คนเห็น ก็ให้จดชื่อที่อยู่เอาไว้

7. จดบันทึกสถานที่เกิดเหตุไว้โดยละเอียด

– นามผู้แจ้ง หรือผู้พบศพคนแรก อยู่ที่ไหน

– ลักษณะการมาแจ้ง โทรศัพท์มา หรือมาแจ้งเอง

– ตำบลที่เกิดเหตุ

– ชื่อผู้ตาย อายุ ที่อยู่ (ถ้าทราบ)

– วัน เวลา ที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ

– สาเหตุแห่งการตาย หรือการฆาตกรรม (ถ้าทราบก็ใช้คำว่า สันนิษฐานว่า แต่ถ้ายังไม่ทราบ ก็ใช้คำว่า ยังไม่ทราบสาเหตุ)

– อาวุธและเครื่องมือที่ใช้ในการฆาตกรรม

– เวลาที่ผู้ถูกฆาตกรรมถึงแก่ความตาย

– ลักษณะและสภาพของบาดแผล

– สภาพของศพและร่องรอยพยานหลักฐานต่างๆ

– สภาพของศพและลักษณะของบริเวณที่เกิดเหตุ

– รายละเอียดต่างๆ ของร่องรอยพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ

– ชื่อผู้ต้องสงสัย และที่อยู่

– พยานที่รู้หรือทราบเหตุการณ์ ชื่อ ที่อยู่

– สภาพดินฟ้าอากาศของสถานที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ

ในกรณีการสืบสวนคดีฆาตกรรม มีแนวทางในการสืบสวนอยู่ 3 แนวทาง คือ

1. สืบสวนจากผู้ใกล้ชิดของผู้ตาย เมีย ลูก พ่อแม่ ญาติ เพื่อนฝูง

2. สืบจากบุคคลภายนอก

3. สืบจากลักษณะและอาการของศพ ใช้ประสบการณ์และวิชาที่เรียนมาเอง ตลอดจนสติปัญญาของเรา

 

การตายโดยผิดธรรมชาติ มีดังนี้ คือ

ศพผูกคอตาย เมื่อพบศพที่ผูกคอตาย อาจจะไม่ใช่ อาจจะมาจากการตายสาเหตุอื่น แล้วนำศพมาผูกคอเพื่อตบตาเจ้าพนักงาน ลักษณะของศพที่ผูกคอตาย มีลักษณะดังนี้ คือ

1. หน้าซีด ผิวคล้ำ

2. นัยน์ตาหรี่ หรือเบ้าตาถลนออกมา

3. ลิ้นแลบออกมา หรือลิ้นมาจุกริมฝีปาก

4. ริมฝีปากเขียวและมีน้ำลายไหล

5. สำหรับผู้ชายที่ตายใหม่ๆ อวัยวะสืบพันธุ์จะแข็งหรือมีน้ำอสุจิออกมา ถ้าเป็นผู้หญิงจะมีปัสสาวะหรืออุจจาระไหลออกมา

เวลาตรวจที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจให้แน่ชัดว่าตายแน่นอนแล้ว ก่อนนำศพลงมาให้ถ่ายภาพก่อน เมื่อตัดเชือกลงมาให้ถ่ายภาพบริเวณคอ ที่เชือก แล้วนำส่งแพทย์ตรวจอีกครั้งหนึ่ง

ศพจมน้ำ ข้อที่ควรพิจารณา คือ

1. ถ้าจมน้ำตายเอง จะมีน้ำหรือฟองน้ำหรือโลหิตใสๆ ไหลออกมาจากจมูก

2. ในปากอาจจะมีตะไคร่น้ำ แหน สาหร่าย อยู่ในปาก

3. เล็บมือ มือ ซอกเล็บ มีรอยตะกุยดินหรือไม่ อาจมีเศษหญ้าเศษดินติดอยู่ เพราะก่อนจมน้ำตาย คนตายจะตะกุยตะกายก่อนตาย

ในกรณีที่เป็นศพที่ไม่ใช่จมน้ำตาย แต่เป็นการตายโดยสาเหตุอื่น แต่นำศพมาโยนน้ำเพื่ออำพรางคดี มีลักษณะดังนี้

1. ดูเสื้อผ้าครบบริบูรณ์หรือไม่

2. ดูรอยฉีกขาดหรือไม่ มีรอยกระสุนปืน หรือถูกแทงหรือไม่

3. ดูสิ่งของรูปพรรณเครื่องแต่งกาย

4. ดูสภาพของศพ ว่าคอขาด ถูกตัดส่วนของร่างกายไปหรือไม่

ศพถูกยาพิษหรือยาเบื่อ

แต่เดิมศพจะมีลักษณะปากเขียว น้ำลายฟูมปาก แต่ปัจจุบัน ยาพิษมีสภาพเปลี่ยนไป อาจเป็นยานอนหลับ ดังนั้น ลักษณะที่เป็นศพถูกยาพิษ จะมีลักษณะดังนี้

อาจจะมีน้ำลายฟูมปาก และนำแก้วใส่ที่มีเศษน้ำหรือเศษสิ่งของเหลืออยู่ไปตรวจพิสูจน์ และขั้นสุดท้าย นำศพไปให้แพทย์ตรวจพิสูจน์สิ่งของที่เหลืออยู่ในที่เกิดเหตุให้เก็บไว้ เช่น แก้วน้ำ อาหารที่เหลือ

 

การกะประมาณเวลาตาย

ทำให้รู้เวลาเกิดเหตุประมาณเท่าไร ตายมาแล้วเท่าไร ทำให้เป็นแนวทางในการสืบสวน ครั้งแรกที่ไปดูศพ สิ่งแรกที่จะรู้ว่าตายหรือไม่ตาย คือ การตรวจดูลมหายใจ มี 3 วิธี คือ

1. โดยการใช้หูแนบฟังการเต้นของหัวใจ

2. โดยการจับชีพจรดูการเต้นของหัวใจ

3. การใช้ไฟฉายส่องที่ดวงตา ว่ามีปฏิกิริยาหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่ายังไม่ตาย

การกะระยะเวลาของการตาย เมื่อเราพบศพแล้ว โดยปกติคนเราจะมีความอบอุ่นในร่างกาย แต่เมื่อเราตายไปแล้วตั้งแต่ 1 นาที ถึง 20 นาที หลังจากการตาย ตัวจะยังอุ่นอยู่ แต่ถ้าภายหลัง 20 นาทีไปแล้วตัวจะเริ่มเย็น

และหลังจาก 1 ชั่วโมงถึง 6 ชั่วโมง ร่างกายจะมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ เพราะเกิดอาการตกของเลือด เราเรียกว่า รอยคล้ำบนร่างกาย หรือ ไลวอร์ มอร์ทิส (Livor Mortis หรือ Post Mortem Lividity) จะเริ่มเกิดตั้งแต่ 1 ชั่วโมงเป็นต้นไป แต่จะปรากฏเต็มที่เมื่อตายไปแล้ว 6 ชั่วโมง

ต่อไปจะเกิดอาการแข็งทื่อ เรียกว่า ไรกอร์ มอร์ทิส (Rigor Mortis หรือ Post Mortem Rigidity) หลังจาก 6 ชั่วโมงไปแล้ว จะมีอาการเช่นนี้ 2-3 วัน

พอพ้นระยะเวลานี้แล้วจะเริ่มอ่อน ในเวลาเดียวกันก็จะเริ่มอืดบริเวณท้องก่อน พออืดแล้วก็จะเริ่มเน่า มีหนอนแสดงว่า 7 วันล่วงไปแล้ว วันที่ 8 หนอนนั้นจะเป็นแมลงบินได้แล้ว กรณีเช่นนี้ในสภาวะปกติ ไม่ใช่มีน้ำแข็งหรือมีการฉีดยา 3 วันแล้วจะเริ่มมีกลิ่น

อาการเกร็ง เรียกว่า คาดาเวอริก สปาซัม (cadaveric spasm) คือ อาการแข็งทื่อที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น ในกรณีที่ยิงตัวตาย ระบบประสาทจะถูกทำลายทันที เช่น มือขวากำปืนอยู่จะเกร็งอยู่ในลักษณะนั้น การเกร็งจะอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะคลาย การเกร็งนี้จะมีประโยชน์ต่อการสืบสวน เช่น โดนยิงตาย แล้วเอาปืนใส่มือบอกว่าผู้ตายฆ่าตัวตาย อาการเกร็งจะไม่เกิดขึ้น

อีกวิธีหนึ่ง คือ คนเราเมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วจะเกิดอาการย่อยอาหารหมดภายใน 4-6 ชั่วโมง ถ้าหากตายไปแล้ว นำไปผ่าท้องยังพบอาหารอยู่แสดงว่าพึ่งตายไปไม่เกิน 4-6 ชั่วโมง

แต่ถ้าไม่พบอาหารเลย แสดงว่าตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-6 ชั่วโมง