ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
โลกทรรศน์ | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ภูมิทัศน์การเมืองและการเปลี่ยนผ่านผู้นำ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2023 ร้อนแรงและโดดเด่นมาก ด้วยการเมืองของการเลือกตั้งหลังจากภูมิภาคนี้ผ่านพ้นโรคระบาดโควิด-19 ไปแล้ว
ฟิลิปปินส์และมาเลเซียได้เลือกผู้นำใหม่ปี 2022
ส่วนเวียดนามได้เปลี่ยนผู้นำสำคัญหลังจากประธานาธิบดี Nguyen Xuan Phuc เสนอตัวลาออกอย่างสุภาพ
ผู้ออกเสียงเลือกตั้งในไทย กัมพูชาและสิงคโปร์ต่างเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้แทนราษฎรและผู้นำในปี 2023 สำหรับปี 2024 จะเป็นปีที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับอินโดนีเซีย ประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความรู้จำกัด อีกทั้งอยากเสนอการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมือง (political landscape) และการเปลี่ยนผ่านผู้นำ (leadership transition) เพียงบางประเทศเท่านั้น
อินโดนีเซีย
: การเมืองแห่งอัตลักษณ์และความเปลี่ยนแปลง
อินโดนีเซียจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในกุมภาพันธ์ 2024 การเมืองแห่งอัตลักษณ์ (identity politics) รวมทั้งการใช้ความอ่อนไหวทางศาสนามีอิทธิพลต่อวาทกรรมการเมืองของประเทศนี้
บทบาทของอิสลามในการเมืองมีความสลับซับซ้อน สิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลอย่างไรต่อการเมืองอินโดนีเซียประเทศที่ไม่เคยเป็นรัฐทางโลก (secular state) อย่างสมบูรณ์
ดังนั้น ศาสนาจึงแสดงบทบาทในการเมืองอินโดนีเซียตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ความสำคัญของศาสนาทวีคูณนับจาก reformasi1 เนื่องจากความเลื่อมใสทางศาสนาของคนอินโดนีเซียเติบโตขึ้น
การทะยานขึ้นของการเมืองแห่งอัตลักษณ์ โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งตอบสนองทุกพรรคและนักการเมืองทุกคน การใช้การเมืองแห่งอัตลักษณ์ระหว่างรณรงค์เลือกตั้งปี 2024 คาดว่าเข้มข้นเหมือนช่วงการเลือกตั้ง 2014 และ 2019
อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครเป็นประธานาธิบดีทุกคนมีแนวทางความคล้ายกันใน 3 ประเด็นคือ อิสลาม ชาตินิยมและแนวทางการเมืองแบบกลางๆ
ดังนั้น การเมืองแห่งอัตลักษณ์ครั้งนี้ไม่แบ่งแยกเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้
ปัจจุบันอินโดนีเซียที่มองว่าเป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าระดับโลกเริ่มเกิดข้องสงสัย มาตรการใหม่เหมือนการแต่งตั้ง ผู้นำท้องถิ่นแบบชั่วคราวถูกนำมาใช้ปี 2020 เพื่ออุดช่องว่างระหว่างผู้บริหารภูมิภาคครั้งล่าสุดและการเลือกตั้งในรอบต่อมาปี 2024
นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการนี้เป็นความพยายามหนึ่งเพื่อย้อนหลังการให้อิสระกับรัฐบาลท้องถิ่น เช่น แนะนำการเลือกตั้งโดยตรงของผู้บริหารในรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ว่าและ นายกเทศมนตรีปี 2004
ฟิลิปปินส์ คนรุ่นใหม่และโซเชียลมีเดีย
ผู้บริหารรัฐบาลประธานาธิบดี เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ (Ferdinand Marcos Jr.) กับประธานาธิบดีคนก่อน ดูแตร์เต (Duterte) บุคลิกผู้นำสองคนนี้ไม่เหมือนกันโดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์แห่งชาติของนโยบายต่างประเทศและการเมืองภายในฟิลิปปินส์สัมพันธ์กัน
ในขณะที่ผลประโยชน์แห่งชาติยังไม่เปลี่ยนแปลง อำนาจปฏิบัตินโยบายต่างประเทศอยู่ที่ประธานาธิบดีเป็นหลัก
การแข่งขันรุนแรงสหรัฐอเมริกากับจีนกระทบต่อการวางท่าทีของประเทศ ได้กลายเป็นประเด็นความมั่นคงสำคัญท้าทายต่อประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ที่ละเลยปัญหาภายในของอดีตประธานาธิบดีดูแตร์เตคือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การปราบฝ่ายต่อต้านรัฐบาล สงครามยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันภายในอาจท้าทายความสามารถในการรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ได้
ที่น่าสนใจมาก โซเชียลมีเดียแสดงบทบาทชัดเจนโน้มนำการเลือกตั้งปี 2022 โซเชียลมีเดียมีบทบาททั้ง disinformation คือ เป็นข่าว/ข้อมูลปลอมที่เป็นภัยและแพร่โดยเจตนา และ misinformation คือ เป็นข่าวปลอมที่ไม่เป็นภัยและแพร่โดยไม่เจตนา2 โดยโซเชียลมีเดียแสดงบทบาทต่อมติมหาชน (public opinion) และผลการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ นับจากปี 2016 ฟิลิปปินส์กลายเป็นพื้นที่ใช้เฟกนิวส์ (Fake News) เพื่อเป้าหมายเลือกตั้ง ด้วยการแพร่กระจายอินเตอร์เน็ต
คนฟิลิปปินส์ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี และมีการใช้การเมืองโดยผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มโหมใช้โซเชียลมีเดีย เมื่อนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาเป็นอาวุธช่วงการเลือกตั้ง ฟิลิปปินส์แทบจะเป็นคนไข้ป่วยหนัก ทำอะไรไม่ได้
โซโซเชียลมีเดียแสดงบทบาททางการเมืองฟิลิปปินส์ 2 ประการคือ
ด้านหนึ่ง โซเชียลมีเดียระดมผู้ออกเสียงเลือกตั้งรุ่นเยาว์ให้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข่าวปลอม ในการรณรงค์การเลือกตั้ง โซเชียลมีเดียเป็นสะพานเชื่อมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ การมีส่วนร่วมทางการเมือง และพาคนเข้าคูหาเลือกตั้ง
อีกด้านหนึ่ง ข่าวปลอมดาหน้าสู่การรณรงค์เลือกตั้งปี 2020 แบ่งเป็นฝ่ายการออกเสียงของ 2 คู่แข่ง พวกที่รังเกียจการปฏิวัติ คือผู้สมัครเป็นประธานาธิบดี มาร์กอส จูเนียร์ และลูกชาย กับคู่แข่งอดีตเผด็จการ ดูแตร์เต แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายโหยหาอำนาจนิยม กับ ฝ่ายภาพลวงตาประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม เป็นการกัดกร่อนผู้สมัครคนอื่นๆ และมีผลสะท้อนกลับต่อรัฐและสุขภาวะประชาธิปไตยฟิลิปปินส์
ผู้นำกัมพูชา ใหม่หรือเก่า?
ที่กัมพูชา พรรคประชาชนกัมพูชา ได้รับชัยชนะก้าวสู่อำนาจอีกครั้งในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเมื่อ กรกฎาคม 2023 นักสังเกตการณ์เชื่อว่า การแบนไม่ให้พรรค Candlelight Party พรรคแกนนำฝ่ายค้านกัมพูชาลงแข่งขันเลือกตั้งเป็นการกัดเสาะประชาธิปไตยกัมพูชา ที่สำคัญยังมีประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองด้วย
ประชาธิปไตยเป็นการจัดตั้งรัฐบาลโดยประชาชนและเพื่อประชาชน คนกัมพูชาเป็นคนที่จะตัดสินอนาคตของประเทศของเขาผ่านประชาธิปไตย
แต่ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการที่ยังไม่จบสิ้นในกัมพูชา มีการเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองของทุกฝ่าย โดยหลักการความยืดหยุ่น เปิดกว้าง ทุกฝ่าย โปร่งใสและตรวจสอบได้ แล้วเราจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยกัมพูชายังเยาว์วัยนัก อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยในกัมพูชากำลังก้าวหน้า
นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต (Hun Manet) ได้รับบทบาทนายกรัฐมนตรีเมื่อ 22 สิงหาคม 2023 พร้อมด้วยผู้นำรุ่นใหม่ครองตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย
แต่เราคาดหวังความเป็นผู้นำของพวกเขาต่างจากพ่อของพวกเขาได้หรือไม่เป็นคำถามใหญ่
รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ต่างจากอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน พ่อของเขามากน้อยแค่ไหน
ในเชิงการบริหารประเทศ ตอนนี้นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต จะยังคงใช้วิสัยทัศน์และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่แล้ว
แต่เขาเถรตรงมากๆ ในเรื่องการปฏิรูป ในระดับหน่วยงานปฏิบัติการ
กล่าวได้ว่า แบบแผนผู้นำของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต มีลักษณะกลุ่มผู้นำที่เห็นพ้องต้องกัน
แนวทางหนึ่ง มีแนวทางเน้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนสำคัญในกระบวนการตัดสินใจนโยบาย โลกทัศน์และจิตใจของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต เปิดกว้าง โดยอาศัยเส้นทางทางวิชาการของเขาและประสบการณ์จริงของเขาภายในประเทศ
สรุป หลายฝ่ายมองว่า ผู้นำคนใหม่จะใช้แนวทางปฏิบัตินิยม เป็นปรัชญาของนโยบายต่างประเทศ แล้วยังคาดหวังว่า เขาเถรตรงกว่าผู้นำรุ่นพ่อของเขา
ปะทะประสานระหว่างคอร์รัปชั่น
กับอุดมการณ์ในเวียดนาม
ประจักษ์พยานการปะทะกันระหว่างคอร์รัปชั่นกับอุดมการณ์ในเวียดนามคือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับสูงคือ ประธานาธิบดีและรองนายกรัฐมนตรี 2 คน
คดีคอร์รัปชั่นกับการปกครองประเทศกระทบเสถียรภาพทางการเมืองและความเชื่อมั่นของสาธารณะต่อผู้นำ
แต่ในพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม-CVP3 เห็นว่าการคอร์รัปชั่นคือ ภัยร้ายแรงต่อความชอบธรรมทางการเมืองและความมั่นคงของระบอบการเมือง และยังกีดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นับตั้งแต่ปี 2016 CVP ไม่ยอมผ่อนปรนการต่อต้านคอร์รัปชั่น การรณรงค์นี้มีผลให้เกิดการลงโทษหรือฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐ นายทหารระดับสูงและตำรวจนับแสนราย รวมทั้งสมาชิกโปลิตโบโรของพรรค
มาตรการเหล่านี้เป็นต้นทุนระยะสั้นที่พรรคต้องจ่าย แต่ได้ผลลดคอร์รัปชั่นในระยะยาว
แรงปะทะ
CVP อิงอุดมการณ์สังคมนิยมของจีนมาตลอด มีการนำอุดมการณ์มาใช้กำหนดนโยบายต่างประเทศของเวียดนาม โดยเฉพาะช่วงสงครามเย็น (จากต้นทศวรรษ 1950-1980)
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาตินิยมและปฏิบัตินิยมกลายเป็นพลังเด่นชัดในการปรับเปลี่ยนการตัดสินใจทางนโยบายต่างประเทศของเวียดนาม
ดังนั้น แม้ว่า CPV อาจใช้อุดมการณ์นำสถานการณ์และประเด็นต่างๆ รวมทั้งขับดันนโยบายต่างประเทศ ตัวอย่างที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือ ในความสัมพันธ์เวียดนามกับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าใกล้ชิดทางอุดมการณ์ระหว่างจีนกับเวียดนาม เวียดนามสามารถยืนเด่นต่อจีนในปัญหาทะเลจีนใต้ ในขณะที่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ระหว่างวียดนาม (สังคมนิยม) กับสหรัฐอเมริกา (ทุนนิยม) แต่ไม่สามารถแยก 2 ประเทศจากจุดแข็งที่ผูกพันด้านต่างๆ
ผลสูงสุดคือ แถลงการณ์ล่าสุดเรื่อง พันธมิตรทางยุทธศาสตร์รอบด้าน (comprehensive strategic partnership) สหรัฐอเมริกา-เวียดนาม
สรุป เอเชียะตะวันออกเฉียงใต้
‘ยุคที่ยังไม่มีชื่อเรียก’
ผู้เขียนไม่อยากใช้คำว่า ‘ความท้าทาย’ ความหมายของคำนี้กว้างและเลื่อนลอยสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเมืองของการเลือกตั้งและการเปลี่ยนผ่านผู้นำ กำลังเปลี่ยนและขับเคลื่อนภูมิภาคนี้อย่างสำคัญ
อินโดนีเซียชาติประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดของภูมิภาค การเมืองของการเลือกตั้งทำให้เราเรียกอินโดนีเซียประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่ได้เสียแล้ว การเมืองแห่งอัตลักษณ์ อิสลาม ชาตินิยมดำรงอยู่ก็จริง แต่การเมืองการเลือกตั้งหลบลอดพลังเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นคือผู้นำท้องถิ่นได้แก่ ผู้ว่าฯ และนายกเทศมนตรี หลายๆ เมืองถูกแต่งตั้งกลายๆ จากผู้ออกเสียงที่ถูกชี้นำโดยผู้นำท้องถิ่นและนโยบาย ประชานิยม ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งโฆษณา
ที่ชัดเจนและอันตรายต่อประชาธิปไตยในอินโดนีเซียมากขึ้นคือ บทบาททางการเมืองของกองทัพที่เพิ่มมากขึ้น
การเปลี่ยนผ่านผู้นำนับจากปี 2016 จากประธานาธิบดี รองนายกรัฐมนตรี นายทหารระดับสูงและตำรวจ เจ้าหน้าที่ระดับนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจากการคอร์รัปชั่นและข้อกล่าวหากำลังเปลี่ยนภูมิการเมืองของเวียดนาม
แม้ว่าอุดมการณ์สังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจะยังอยู่ แต่การเปลี่ยนผ่านผู้นำจำนวนมากทั่วประเทศเพื่อรักษาความชอบธรรมทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์เอาไว้ก็เปลี่ยนภูมิการเมืองเวียดนามมากกว่าอดีตที่ผ่านมา
แม้การเลือกตั้งปี 2023 ทำให้พรรคประชาชนกัมพูชาและสมาชิกตระกูลฮุน ครองการเมืองและประเทศกัมพูชาต่อไป แต่นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ก็เป็นลูกไม้หล่นไกลต้น (ไม้) วิสัยทัศน์ เป้าหมายทางการเมืองของเขาดูกลางๆ ไม่มีอะไร บางคนเรียกว่า ปฏิบัตินิยม อาจเถรตรงในการปฏิรูปแค่ในฝ่ายปฏิบัติการของรัฐบาลและระบบราชการ
เราไม่ควรลืมว่า ไม่ใช่ฮุน มาเนต เพียงคนเดียวที่เป็นลูกไม้หล่นไกลต้น คณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากคือ คนรุ่นใหม่ พวกเขาจะแตกต่างจากพ่อของพวกเขาแค่ไหนอาจยังเป็นคำถาม
แต่ความแตกต่างของพวกเขาเป็นความแตกต่างที่เหมือนคนกัมพูชารุ่นใหม่ทั้งหนุ่มสาวและคนรุ่นเก่า รุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เริ่มไม่อดทนต่อระบอบฮุนเซนอีกแล้ว
ดังนั้น ภูมิทัศน์การเมืองกัมพูชา กำลังเปลี่ยนไปแล้วด้วย
ขอเรียกแนวโน้มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ว่า ‘ยุคที่ยังไม่มีชื่อเรียก’
1การปฏิรูปหรือ Reform ในภาษาอังกฤษ แนวคิดปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญยุคสิ้นสุดระบอบซูฮาร์โต (Suharto Regime) ที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 30 ปี ระบอบนี้ล่มสลายด้วยผลจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 1997 แล้วผู้นำที่ใกล้ชิดกดดันให้นายพลซูฮาร์โตและคนใกล้ชิดลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้น อินโดนีเซียรับข้อเสนอปฏิรูปเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ยอมปรับลดงบประมาณ ปฏิรูปกองทัพและตำรวจ แยกบทบาททหารดูแลความมั่นคงจากภัยคุกคามภายนอก ล้มเลิกรัฐวิสาหกิจของกองทัพ โดยเฉพาะในกิจการน้ำมันและสถาบันการเงิน
2คำจำกัดความได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนโดยรองศาสตราจารย์ พิจิตรา สคราโมโต้ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 ตุลาคม พ.ศ.2566.
3Communist Party of Vietnam
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022