ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน | เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น | กิตติศักดิ์ คงคา

ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน

 

พวกเขาบอกว่าทางรถไฟนี่จะนำความเจริญมาสู่บ้านเรา

พวกเขาเรียกผู้ใหญ่บ้านไปประชุมและสั่งให้มาบอกทุกคนในหมู่บ้านแบบนั้น ผ่านไปไม่กี่เดือน ทางรถไฟก็วิ่งผ่ามากลางหมู่บ้านและตั้งสถานีเสียเสร็จสรรพ พวกเขาบอกว่านี่คือความเจริญ ผมทำงานเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเล็กแถบนี้ ไม่ได้มีความเห็นอะไรกับรถไฟนี่ ถ้าเจริญจริงก็คงดี

ทางรถไฟพาอะไรมาสู่หมู่บ้านของผมหลายอย่าง อย่างแรกคือมีทหารแวะเวียนมาที่นี่บ่อยกว่าแต่ก่อนมาก บางครั้งก็พาพวกฝรั่งมังค่ามาด้วย มาถึงก็พากันเดินแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้าง สบู่ยาสีฟันบ้าง แล้วก็จะแนบใบปลิวรูปชาวนาที่กำลังมียักษ์มารคอยเฆี่ยนตี พวกนั้นเลวร้ายมาก พวกเขาบอก

อีกอย่างที่มาพร้อมทางรถไฟคือคนแปลกหน้า หนึ่งในนั้นคือนายสุ่ย ใครสักคนที่เดินทางมาจากที่ไหนสักที่และถูกจับได้ที่นี่ว่าแอบขึ้นรถไฟมาโดยไม่จ่ายเงินเลยถูกถีบตกลงมา นายสุ่ยเป็นคนจีน จีนแท้ที่พูดภาษาไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว วันแรกที่มา นายสุ่ยล้งเล้งคุยกับคนไปเรื่อย แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ

สุดท้ายนายสุ่ยก็ไปอาศัยเถียงนาร้างๆ แห่งหนึ่งคุ้มกะลาหัว เมื่อคุยกับใครไม่ได้ก็หางานทำไม่ได้ นายสุ่ยกลายเป็นคนเร่ร่อนคนแรกในหมู่บ้าน คนเร่ร่อนที่มาพร้อมกับทางรถไฟนั่น ตอนแรกก็ไม่มีใครสนใจนายสุ่ยนัก เพราะเห็นว่าต่อจะให้บ้าๆ บอๆ อย่างไรก็คงไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอันตรายใคร

จนกระทั่งนายสุ่ยเริ่มลักเล็กขโมยน้อยนั่นแหละ พอไม่มีอะไรยาไส้ นายสุ่ยก็เริ่มหยิบฉวยของกินจากตลาด แอบดอดไปบ้าง หยิบแล้ววิ่งหนีซึ่งหน้าบ้าง จากเมินเฉยก็กลายเป็นเกลียดชัง คนในหมู่บ้านเริ่มก่นด่าว่า “หัวขโมย”

แต่นั่นดูจะไม่มากสมความเกรี้ยวกราด นายสุ่ยจึงได้ชื่อใหม่ว่า “ไอ้คอมมิวนิสต์”

 

นั่นดูเหมือนจะเป็นคำหยาบและร้ายแรงที่สุดเท่าที่ใครต่อใครจะนึกออกได้แล้ว ความชั่วร้ายที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในกระดาษผืนผ้า ยักษ์มารตัวสีแดงที่ทุบฟาดชาวนาจนเลือดซิบ ยักษ์มารตัวสีแดงที่เผาวัดเผาจีวรจนวอดวาย ยักษ์มารตัวสีแดงที่มาดหมายจะหักประเทศออกเป็นเศษชิ้น

นายสุ่ยโดนด่าแบบนั้นได้อยู่ไม่กี่วัน ทหารกลุ่มใหญ่ก็โผล่มาที่หมู่บ้าน ควบคุมตัวนายสุ่ยขึ้นรถไฟไปแล้วไม่เคยกลับมา คนในหมู่บ้านแทบจะโห่ร้องดีใจที่เรื่องนี้จบได้เสียที ไม่มีใครตั้งคำถามว่านายสุ่ยไปไหน หรือถูกจับโดยข้อหาใด หรือจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ไม่มีใครสนใจ

เรื่องของนายสุ่ยดังไกลไปจนถึงหมู่บ้านข้างเคียง กลายเป็นว่านี่คือวิธีการศักดิ์สิทธิ์ในการจัดการคนเลว ประณามเสียว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เพียงไม่นานพวกเขาก็จะมาลากตัวผู้ร้ายนั่นหายไป หมู่บ้านก็จะเหลือแต่ความสงบสุข ผมเฝ้ามองปรากฏการณ์เหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่มีความเห็นอะไร

ผ่านไปไม่กี่เดือน พวกเขาก็เริ่มมาที่หมู่บ้านพวกเราบ่อยขึ้น เพราะเมื่อชาวบ้านต่างชี้หน้ากันไปชี้หน้ากันมาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ผู้ร้ายทำลายชาติก็ถูกจับได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพวกเขามองว่าหมู่บ้านเหล่านี้เป็นแหล่งกบดาน จากความเงียบของชนบทก็กลายเป็นมีทหารเดินป้วนเปี้ยนไปมาทุกวัน

สายวันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านก็มาเดินเรียกทุกคนไปรวมกันที่ลานหน้าวัดกลางและบอกว่าทหารอยากจะพูดคุยกับชาวบ้านแต่ละคนโดยละเอียด ทีละคน เสียงฮือฮาดังขึ้นในกลุ่มพวกเราทันที แต่พวกเขาบอกว่าให้ความร่วมมือจะดีกว่า เพราะปัญหามักจะอยู่กับคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ

ทหารคนหนึ่งเรียกผมเข้าไปสัมภาษณ์ใต้ร่มไม้เล็กๆ มุมหนึ่งติดกับพระอุโบสถ เขาถามว่าผมทำอาชีพอะไร ผมก็ตอบว่าครู เขาถามว่าสอนอะไร ผมก็บอกว่าภาษาไทย เขาจึงถามต่อว่าแบบนี้ก็เขียนหนังสือเก่งใช่ไหม ผมก็ตอบว่าพอได้ ช่วยที่โรงเรียนร่างเอกสารราชการอยู่บ่อยๆ

ทหารคนนั้นบอกว่าดีเลย ตอนนี้ทางรัฐบาลต้องการผู้มีความสามารถเข้าไปช่วยเหลืองานที่ส่วนกลางเพิ่มเติม จะมีตำแหน่งทางราชการให้ แต่ต้องเป็นความลับ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี หากมีข่าวว่ารับราชการเพิ่มจะโดนชาวบ้านว่า ขอให้ผมช่วยเหลือประเทศชาติสักครั้ง

ผมลังเล แต่ก็รู้ดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้หน้าสิ่วหน้าขวานเพียงไหน ผมถามว่าจะมีใครไปด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่ามี หมู่บ้านละคนสองคน ผมจึงตกลงรับคำไป บอกว่าจะขอไปลองทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวก็จะขอกลับมาเป็นครูเหมือนเดิม เขาบอกว่าได้เลย

ผมจึงเดินขึ้นรถไฟนั่นไป

 

ผมไปถึงกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ก่อนจะต่อรถยนต์ของทหารขึ้นไปพร้อมกับชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ก็น่าจะเกณฑ์มาเหมือนกัน รถมาจอดที่สถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ทหารมาไล่ต้อนพวกเราให้ลงจากรถ ผมจึงได้เห็นป้ายชัดเจนว่าที่นั่นคือศาลอาญา และยังไม่ทันได้ทำอะไรผมก็ถูกใส่กุญแจมือ

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ด้านหน้ามีวงล้อมของผู้คนขนาดใหญ่ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า พูนศุข พนมยงค์ กำลังทะเลาะถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจประกาศยืนยันว่าจะไม่มีการประกันตัวและผู้ที่เป็นกบฏทุกคนจะต้องติดคุก ผมก้มมองกุญแจมือของตัวเองอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย

ผมย้ายเข้ามาใช้ชีวิตในคุกบางขวางด้วยข้อหาเป็นแนวร่วมของคณะกบฏสันติภาพ อย่าว่าแต่กบฏสันติภาพคืออะไรเลย กบฏสันติภาพมีใครบ้างผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ผมอาศัยอยู่ในเรือนจำอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง พยายามจะถามผู้คุมถึงสิทธิ์ที่ผมควรจะได้รับ แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไร

ผมพักร่วมห้องกับตาคำ แกเป็นคนแก่น่าจะสักเจ็ดสิบได้ แกบอกผมว่าอยู่ในนี้แหละปลอดภัยแล้ว อยู่ข้างนอกจะโดนยิงตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แกถามผมว่าโดนจับมาข้อหาอะไร ผมบอกว่าข้อหากบฏ แกเลยถามต่อว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์เหรอ ผมตอบว่าเปล่า แกหัวเราะ บอกว่างั้นอีกไม่นานก็อาจจะได้เป็น

คืนแรกในคุกของผมเป็นไปอย่างทรมานมาก มีเสียงโหยหวนครวญครางร้องเลี่ยไล่มาตามลูกกรงจนผมข่มตานอนไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว จนแดดเช้ามาถึงนั่นแหละ ผมจึงได้ถามตาคำเรื่องผีในคุก แกหัวเราะ บอกว่าผีในคุกไม่มีหรอก มีแต่คนที่คล้ายผี ถูกขังเดี่ยวมานานแล้ว

ชื่อนายสุ่ย

 

ผมอึ้งไปเพราะไม่มั่นใจว่านายสุ่ย ที่ว่าใช่นายสุ่ยเดียวกับที่ผมรู้จักหรือเปล่า แต่ตาคำเล่าให้ฟังว่านายสุ่ยเป็นนักโทษข้อหาคอมมิวนิสต์ ถูกจับมาพักใหญ่แล้ว พูดไทยไม่ได้เลย เอาแต่พูดจีน ทำท่าจะหนีออกจากคุกอยู่อย่างเดียว โดนจับอยู่หลายรอบจนโดนไปขังเดี่ยว อาการเหมือนเป็นบ้าขึ้นทุกที

ผมเก็บความสงสัยเอาไว้แบบนั้นเรื่อยมา ไม่คิดจะไปเยี่ยมหรือไปดูหน้าผีบ้าประจำคุกอยู่แล้ว จนกระทั่งคืนหนึ่งนั่นแหละที่เสียงครวญครางของนายสุ่ยไม่ใช่แบบเดิม หากแต่เป็นเพลงไทยเพลงหนึ่งที่ร้องด้วยสำเนียงจีนกระท่อนกระแท่น แต่ก็สะกดความมืดนั่นจนคนได้ยินแทบไม่ลืมหายใจ

วันรุ่งขึ้นนายสุ่ยถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องขังเดี่ยวของตัวเอง สาเหตุมาจากการฆ่าตัวตาย ผู้คุมเล่าว่านายสุ่ยเหลาปลายแปรงสีฟันจนแหลมและเอามากรีดเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือ เลือดค่อยๆ ไหลท่วมห้องขังจนเสียชีวิต ก่อนตายนายสุ่ยได้วาดรูปดาวไว้ด้วยเลือดตราไว้บนกำแพงด้วย

ผู้คุมยกร่างนายสุ่ยออกไปจากคุก และนั่นก็เป็นโอกาสเดียวที่ทำให้ผมได้เห็นหน้าผีบ้าประจำคุกอย่างเต็มตา นายสุ่ยก็คือนายสุ่ยที่พลัดหลงมากับทางรถไฟนั่น นายสุ่ยที่เคยมาอาศัยเถียงนาคุ้มหัวอยู่ที่หมู่บ้านของผม

ผมถามตาคำว่าแกคิดว่านายสุ่ยเป็นคอมมิวนิสต์จริงไหม แกตอบกลับมาว่าถ้าเป็นคอมมิวนิสต์แล้วจะเป็นยังไง ผมจึงตอบกลับไปว่าก็เลวไงตา คนที่เป็นคอมมิวนิสต์ก็เป็นคนเลว ตาคำหัวเราะ ส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะพูดต่อให้ผมฟังว่า

…โลกนี้จะไม่มีคนดีหรอก ถ้าพวกเขาไม่เริ่มต้นชี้หน้าก่อนว่าใครบ้างที่เป็นคนเลว •