ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของ สปท. ผ่านคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการเมือง ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเรื่องพรรคการเมือง ในเรื่องการเลือกตั้ง ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน
เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ มิให้รัฐประหาร “เสียของ”
ในความเป็นจริง หากศึกษาบทบาทของ คสช. นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ก็ดำรงยุทธศาสตร์นี้ด้วยความแน่วแน่ ไม่เคยแปรเปลี่ยน
ขอให้ศึกษาจังหวะก้าวของ “แม่น้ำ 5 สาย”
ไม่ว่าจะเป็นการรุกไล่ คิดบัญชี ต่อคนของพรรคเพื่อไทย เรียงลำดับตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึง นายประชา ประสพดี
ล้วนต้องโทษ ติดอาญากันอย่างถ้วนหน้า
ขอให้ศึกษาจังหวะก้าวของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เรื่อยมาจนถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ก็จะประจักษ์ในความแน่วแน่และมั่นคง
เป้าหมายก็เพื่อจำกัดวงและตีกรอบการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรในแนวร่วมทั้งสิ้น
เพียงแต่ยุทธวิธี คือ แยกกันเดิน แต่ในที่สุดก็ร่วมกันตี
รูปธรรม การเมือง
รัฐประหารเสียของ
ถามว่าบทนิยามที่ว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นรัฐประหาร “เสียของ” กระทั่ง มีความจำเป็นต้องทำรัฐประหารซ้ำอีกในเดือนพฤษภาคม 2557 คืออะไร
ตอบได้ว่า คือ รูปธรรมของการเลือกตั้ง
การสอบสวนคดีทุจริตโดย กคต. อาจเป็นอุปกรณ์ 1 การร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อาจเป็นอุปกรณ์ 1 และการยุบพรรคไทยรักไทยอาจเป็นอุปกรณ์ 1 การสร้างพันธมิตรในแนวร่วมกับพรรคการเมืองตามแผนบันได คมช. คืออุปกรณ์ 1
เป้าหมาย คือ ทำให้พรรคไทยรักไทยระส่ำระสาย ขาดเอกภาพ ขาดความเข้มแข็ง
แต่แล้วในการเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปเมื่อเดือนธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนอันเป็นอวตารแห่งพรรคไทยรักไทยก็ได้ชัยชนะเหนือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย
อย่าได้แปลกใจหากจะมีการปลุก “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ขึ้นมาอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2551 กระทำรุนแรงถึงขั้นยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน
อย่าได้แปลกใจหากจะมีการยุบพรรคพลังประชาชนในเดือนธันวาคม 2551
เท่ากับเป็นการฟื้นแผนบันได 4 ขั้นของ คมช. เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลโดยมีบางส่วนแยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชาชน และเมื่อมีการต่อต้านรัฐบาลก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกองทัพปราบปรามและสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553
แต่ในการเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยอันเป็นอวตารแห่งพรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย ก็ได้รับชัยชนะ
จำเป็นต้องเกิด “กปปส.” เช่นเดียวกับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ในที่สุดก็เกิดรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เป้าหมายก็เพื่อชำระสะสางจุดอ่อนและความผิดพลาดอันเกิดขึ้นจากรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
การทำลายล้างเครือข่าย พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย จึงดำเนินต่อไป
ประชามติ โมเดล
เลือกตั้งปลายปี 2560
หากถือว่ารัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นชัยชนะ 1 ความสำเร็จจากกระบวนการทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ก็เป็นอีกชัยชนะ 1
เป็นการถอดบทเรียนจากประชามติเมียนมาอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะมองผ่าน พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ไม่ว่าจะมองผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย อันเป็นการถอดบทเรียนมาจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เพียงแต่ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ
ไม่ว่าจะมองผ่านกลไกสำคัญคือ ประกาศและคำสั่ง คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจตามมาตรา 44
ทั้งหมดนี้ คือ เครื่องมือและอาวุธอันทรงพลานุภาพอย่างยิ่งทำให้คะแนนผ่านประชามติจำนวนกว่า 16 ล้านปรากฏขึ้น
ชัยชนะจาก “ประชามติโมเดล” จึงยังเป็นบาทฐานอันทรงความหมายยิ่งในทางการเมือง
จากนี้จึงเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของ สปท. การเคลื่อนไหวโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเรื่องของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ในเรื่องของ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง
ล้วนถอดพิมพ์เขียวมาจากกรณีของ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 อย่างครบถ้วน
ดำเนินไปในลักษณะ “แยกกันเดิน รวมกันเข้าตี” ไม่แปรเปลี่ยน
ที่รออยู่เพื่อประมวลผลอย่างเอาการเอางานก็คือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่จะทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเสนอให้ คสช. และรัฐบาลเพื่อกลั่นกรองและปรับปรุงเพื่อจะนำเสนอต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
เป้าหมายของรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ยังดำรงคงมั่นเช่นเดิม
ประกัน ความมั่นใจ
ชัยชนะ “การเมือง”
ไม่เพียงแต่ผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง พรรคการเมืองและนักการเมืองจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน หากเมื่อผ่านกระบวนการของการทำประชามติ พรรคการเมืองและนักการเมือง ยิ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน
1 ทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ 1 ทำความเข้าใจต่อประชาชน
อย่างน้อยที่สุดก็คือ เข้าใจต่อเจตจำนงและการดำรงจุดมุ่งหมายในทางยุทธศาสตร์ของคณะรัฐประหารที่แน่วแน่และไม่เคยแปรเปลี่ยน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจต่อสภาพความเป็นจริงของประชาชนในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
จำเป็นต้องทำการเรียนรู้ในลักษณะที่ขบวนการกลศึกเรียกว่า “รู้เขา” และจำเป็นต้องทำการเรียนรู้ในลักษณะที่ขบวนการกลศึกเรียกว่า “รู้เรา”
หากจมอยู่กับความสำเร็จเก่า บทเรียนเก่า ก็ยากยิ่งที่จะสามารถ “รู้เขา รู้เรา” ได้อย่างเป็นจริง