สัมผัสใจดีดีกับวันอำลาของ ‘ดำรงศักดิ์’ เรื่องที่สุด ‘ผบ.ตร.ลักกี้นัมเบอร์’ ‘การได้ทำงานเป็นโอกาสได้ทำบุญ’

การเดินทางของเวลาแม่ทัพสีกากี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ หรือบิ๊กเด่น ครบกำหนดส่งไม้ต่อให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนที่ 14

ย้อนไปเกือบ 1 ปี บนเส้นทาง “พิทักษ์ 1” ไม่ได้ราบรื่น มีอุปสรรคเข้ามาให้แก้ตลอด เสมือนบททดสอบศักยภาพความเป็นผู้นำองค์กร

บิ๊กเด่นยอมรับว่า ผบ.ตร.คนที่ 13 เป็นลักกี้นัมเบอร์จริงๆ มีงานเข้าจนไม่มีช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์

“ผมว่าน่าจะเป็นดวงนะ (หัวเราะ) ทำให้เห็นปัญหาจริงๆ ได้แก้ ถือเป็นโอกาสคุ้มค่า 1 ปีได้แก้ปัญหาดีที่สุด”

เริ่มตั้งแต่รับตำแหน่งได้ 6 วันแรก เจอเหตุการณ์กราดยิงที่หนองบัวลำภู หลังจากนั้นงานเข้าตลอด

ขนาดเหลืออีก 5 วันจะถอดเครื่องแบบ มี “ช็อกซีนีม่า” ตำรวจไซเบอร์พร้อมคอมมานโดนำหมายค้นเข้าตรวจสอบผู้ต้องหาตามหมายจับใน ซ.วิภาวดี 60 ปรากฏเป็นบ้านพัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้จับตำรวจ 8 นายลูกน้อง “บิ๊กโจ๊ก” เอี่ยวพนันออนไลน์

 

บิ๊กเด่นบอกว่าตลอดชีวิตรับราชการมีทัศนคติว่า งานตำรวจเป็นงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข การได้ทำงานเป็นโอกาสได้ทำบุญ ไม่ได้มองเป็นภาระ จึงไม่ค่อยเครียด แม้ทำงานหนัก ทั้งแก้ปัญหายาเสพติด แก้อาชญากรรมทางไซเบอร์ กวาดล้างเด็กแว้น รวมทั้งปัญหาที่ชาวบ้านเดือดร้อนได้รับแก้ไข เป็นการทำงานที่เหนื่อยแต่มีความสุข

“บางคนถามว่าเป็น ผบ.ตร.มา 1 ปีทำไมไม่แก่ลงเลย เนี่ยผมก็ไม่ได้ย้อมนะ แค่อ้วนขึ้น” (หัวเราะ)

แล้ว 1 ปีที่ทำหน้าที่ เครียดเรื่องไหนมากสุด เจ้าตัวเฉลยว่าสิ่งที่เครียดคือตำรวจโดนด่าว่าไม่ดี จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจว่าตำรวจกว่า 2 แสนนาย ไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่อยากให้มองมุมดีๆ บ้าง

กรณีเกิดเหตุยิงตำรวจ ที่สำนักงานกำนันชื่อดัง นครปฐม รู้สึกเครียด ที่ตำรวจโดนด่าไปซุกปีกผู้มีอิทธิพล จริงๆ มีแค่ส่วนหนึ่ง แต่พอเกิดเรื่องก็อนุมานเป็นแบบนี้หมด สำหรับตนไม่เคยไปคบคนพวกนี้ ไม่เคยให้ความสำคัญ

 

กับคำถามเรื่องไหนกดดันมากที่สุด ได้รับคำตอบว่า คดีสำคัญที่ทำด้วยตัวเอง เช่น คดีตู้ห่าว คาดหวังว่าจะถึงขั้นตอนลงโทษ ได้พยายามทำเต็มที่ จนถึงขณะนี้ผ่านความกดดันไปแล้ว สอบและสืบพยานไปเยอะแล้วอยู่ในเกณฑ์พอใจ กลัวโดนหาว่าเป็นมวยล้มต้มคนดู เป็นไปตามแผนวางไว้ก็พอใจ

กดดันอีกเรื่อง คือดูแลรักษาความปลอดภัยการประชุมเอเปคที่ผ่าน ในรอบ 20 ปี ครั้งสุดท้ายช่วงปี 2547-2548 และมาจัดอีกครั้งปี 2565 เกรงว่าจะมีก่อการร้ายจากต่างประเทศและ 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งยังมีม็อบอีก กลัวจะซ้ำรอยล้มการประชุมแบบพัทยา

ยอมรับกดดัน จึงลงรายละเอียดการทำงานทุกเรื่องด้วยตัวเอง ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีม็อบ เกือบเอาไม่อยู่ ป้องกันจนทำได้สำเร็จ

กดดันแต่ผ่านมาได้มีความภูมิใจ

 

ส่วนดีใจที่สุด คือเห็นความคืบหน้าเรื่องแรก การแก้ปัญหายาเสพติด ถือว่าเป็นนโยบายที่ ป.ป.ส.เห็นด้วยทำในมิติบูรณาการทุกหน่วยงาน ฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ค้า ผ่านเลข 13 หลัก จะนำไปใช้ของทุกหน่วยงาน ทำให้แก้ปัญหาแบบยั่งยืน เริ่มมีศูนย์บำบัดตามที่ตั้งตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) หลายๆ ภาคแล้ว เอาหนองบัวลำภูโมเดล มาเป็นแนว

เรื่องที่สอง อาชญากรรมทางไซเบอร์ คนร้ายตั้งศูนย์อยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ตามชายแดน ดีใจที่ผนึกกำลังกันปราบปรามเชิงรุก ปปง. ธนาคาร และเครือข่ายโทรศัพท์ ไม่ต้องรอให้ตำรวจแจ้ง สามารถใช้ระบบเอไอตรวจสอบบัญชีหรือซิมโทรศัพท์ไหนน่าสงสัย จะถูกฟรีซก่อนส่งมาให้ตำรวจ เป็นระบบที่ร่วมมือกันก่อนที่จะมีเหตุ คนร้ายใช้ช่องทางหลอกได้ยากขึ้น

ที่สำคัญตำรวจสร้างภูมิคุ้มกันทางวัคซีนไซเบอร์ แนะนำแต่ละพื้นที่สร้างครูไซเบอร์เยอะๆ ให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี อย่าไปโลภ อย่าไปหลงเชื่อใคร อย่าไปหลงรักใครง่ายๆ ทั้งที่ไม่เคยเห็นกัน หลอกให้กดลิงก์ง่ายๆ อย่าไปเชื่อ อย่าไปกด ดีใจที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ขณะนี้คดีเริ่มลดลงจาก 1,000 คดีต่อวัน

ก่อนเกษียณถ้าลดลงต่ำกว่า 500 ถือว่าทำสำเร็จได้ระดับหนึ่ง เชื่อว่าซื้อสินค้าไม่ได้สินค้า จะน้อยลงเรื่อยๆ ดีใจที่แก้ปัญหาให้ประชาชนได้

 

แล้วอยากให้จดจำ ผบ.ตร.คนที่ 13 อย่างไร บิ๊กเด่นกล่าวว่า “เชื่อว่าประชาชนรู้จักผมน้อย แต่ไม่ได้ซีเรียส อยากให้ตำรวจจำมากกว่า คาดหวังว่าตำรวจจะได้เห็นภาพลักษณ์ที่ดี เป็นนักบริหาร ขับเคลื่อนองค์กร รักและเข้าใจลูกน้อง แก้ไขปัญหาให้ลูกน้อง บุคลิกผมเป็นคนมีเมตตาลูกน้อง บางครั้งอาจดูไม่เด็ดขาด”

อยากฝากว่าประชาชนต้องการตำรวจที่รับฟังปัญหา ไม่ใช่อยู่ห่างปัญหา สอนลูกน้องตลอดว่า ประชาชนในโลกโซเชียลจะด่าอย่างไร อย่าเอามาบั่นทอนจิตใจ เพราะน้อยคนที่ไม่ด่าตำรวจ แต่ขออย่างเดียวให้คนในพื้นที่รักคุณ พร้อมจะให้ข้อมูล ไม่เมินหน้าหนี เป็นที่ยอมรับ ภาพรวมทั่วประเทศจะดีขึ้น

โดยส่วนตัว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ มีความเชื่อหลักคำสอนพุทธศาสนา เชื่อในกฎแห่งกรรม มีทัศนะว่าการทำงานคือการทำบุญ

“อาชีพตำรวจไม่ต้องไปทำบุญที่วัด ทำบุญในการทำหน้าที่ อย่าไปเบียดเบียน อย่าไปตั้งด่านหวังเงินประชาชน ให้คิดว่าถ้าเราไม่ทำงานนี้ใครจะทำ ใครจะมีบุคลิกเหมือนตำรวจ ทั้งปลอบ ทั้งจับกุม ทั้งขู่ ถ้าใครเป็นบัวใต้น้ำอยู่ใต้โคลนตมก็ต้องตำรวจ ใครเอาไม่อยู่ต้องตำรวจ” บิ๊กเด่นให้แง่คิด

พร้อมบอกอีกว่า ตำรวจต้องปรับในเรื่องวิ่งโยกย้าย รีดไถ แต่ยุคนี้ตำรวจดีขึ้น ที่ผ่านมาไม่ได้รับรองว่าจะไม่มี เพียงแต่ว่ายุคตนยืนยันว่าไม่มีซื้อขายตำแหน่งแน่นอน ใครจะมาพูดอย่างไรก็ตาม ไปถามตำรวจได้ แต่ถ้าตำรวจทำดีต้องให้กำลังใจกันบ้าง

 

เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝาก ผบ.ตร.คนใหม่ บิ๊กเด่นไม่ได้บอกตรงๆ แต่ได้พูดถึงตัวเองว่า “ผมได้รับงานที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. ทำได้ดีหลายเรื่อง เช่น การรับแจ้งความออนไลน์ ผมมาทำอย่างต่อเนื่อง อยากให้นโยบายที่แก้ปัญหาประชาชนทำต่อเนื่องกันไปเลย ไม่ต้องคิดใหม่ ถ้าคิดใหม่ทุกเรื่องช้า การแก้ปัญหายาเสพติด ถ้าเห็นว่าดีก็รีบสานต่อ”

หลังเกษียณใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ อยู่กับตัวเอง อยู่กับครอบครัวมากขึ้น และมีเวลาอยู่กับคุณแม่ให้มากที่สุด

จากนี้เตรียมตัวหายไปจากสังคม สู่สัจธรรมชีวิต สงบ ไม่ดิ้นรน ไม่แสวงหา

ปลดพันธนาการหัวโขน ส่งมอบ ผบ.ตร.คนที่ 14 พร้อมภารกิจกอบกู้ความศรัทธาองค์กรสีกากีต่อไป