ขอแสดงความนับถือ

ขอแสดงความนับถือ

 

เป็นเรื่องน่ายินดีที่เมืองโบราณศรีเทพ ถูกยกเป็นมรดกโลก

และยิ่งน่ายินดีขึ้นไปอีก

หากศรีเทพจะทำให้คนไทยมีมุมมองประวัติศาสตร์ของชาติเปิดกว้าง และถูกต้องมากขึ้น

ดังที่ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” พยายามที่ตีฆ้องร้องป่าวมาโดยตลอด

 

อย่างใน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้

สุจิตต์ วงษ์เทศ ย้ำว่า

เมืองศรีเทพมีอายุเก่าแก่กว่า “สุโขทัยราชธานีแห่งแรก” (ไม่ใช่อย่างที่เราท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองว่าสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก มากันเนิ่นนาน)

เมืองศรีเทพ มีอายุราว พ.ศ.1000

ส่วนเมืองสุโขทัย มีอายุราว พ.ศ.1700

เป็น พ.ศ.1700 ที่เชื่อว่า หลังจากนั้น เมืองศรีเทพได้ลดความสำคัญลง จนร่วงโรยแล้วรกร้าง

ประชาชนจากเมืองศรีเทพโยกย้ายหลักแหล่งไปอยู่ศูนย์กลางใหม่ที่เมืองอโยธยา พูดภาษาไทยเป็นภาษากลางทางการค้า

นานไปก็พูดในชีวิตประจำวัน แล้วกลายตนเป็นไทย

 

กล่าวถึงอโยธยาแล้ว

อยากให้ย้อนกลับไปอ่าน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับที่แล้ว (22-28 กันยายน 2566)

สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้ฟันธงฉับไปแล้วเช่นกันว่า

อโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัย

โดยมีหลักฐานเริ่มแรกความเป็นมาของอโยธยาราว พ.ศ.1600-1700 พบวรรณกรรมไทยในอโยธยาราว พ.ศ.1778

แต่สุโขทัยมีพัฒนาการหลังจากนั้นราว 100 ปี

แต่ชนชั้นนำสมัยชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” ต้องการให้สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย

และทำให้เมืองอโยธยาถูกบังคับสูญหายจากความทรงจำของไทย

ทั้งที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อมากกว่า 100 ปีมาแล้วนี้เอง

แล้วถูกสถาปนาเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยเพื่อใช้ครอบงำสังคมไทย ผ่านสถานศึกษาทุกระดับ และผ่านสื่อสารพัดทั้งของราชการและของเอกชน ยังมีอิทธิพลสืบเนื่องจนทุกวันนี้

“ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างใหม่เรื่องกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เสมือนเรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หมายถึงคิดต่างไม่ได้ หรือคัดค้านไม่ได้ว่าสุโขทัย ‘ไม่ใช่’ แห่งแรก หากละเมิดหรือคิดต่างจะถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เท่ากับต้องอยู่ยาก”

คือสิ่งที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ ยั่วให้คนไทยได้ (กล้า) คิด และได้กล้าแย้ง

การได้กล้าคิด และกล้าแย้ง

จะทำให้เราได้เข้าใจและมีมุมมองประวัติศาสตร์ของชาติใหม่

แน่นอน ย่อมทำให้การมองเมืองศรีเทพ แตกต่างไปจากเดิม

และทำให้คำว่า มรดกโลก มีความหมายยิ่งใหญ่ มากไปกว่า การไปใส่ชุดไทยถ่ายรูปเป็นของที่ระลึกเท่านั้น

ซึ่งแน่นอนการกระทำของนักท่องเที่ยวเหล่านั้นไม่ผิด

แต่เราจะสามารถต่อยอดคำว่ามรดกโลก ให้ “กว้าง” กว่านั้นได้อย่างไร

นั่นคือคำถาม

 

อนึ่ง ว่าด้วยเรื่องมุมมองต่อ “ประวัติศาสตร์” แล้ว

อย่าลืมพลิกอ่านคอลัมน์พื้นที่ระหว่างบรรทัด ของ ชาตรี ประกิตนนทการ ที่หน้า 38

ที่นำกิจกรรม “มหาคณปติบูชา” เนื่องในเทศกาลคเณศจตุรถีและวันพิพิธภัณฑ์ไทย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 16-19 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

มาชี้ชวนให้คิดต่อ

ด้วยศาสตราจารย์ชาตรี มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีความน่าสนใจมาก

เป็นปรากฏการณ์ที่เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นั่นก็คือ การนำโบราณวัตถุบางชิ้นมาเปลี่ยนความหมายจากศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณ์ (profane space)

มาสู่การเป็นวัตถุหรือรูปเคารพทางศาสนาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แทน (sacred space)

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ชาตรี ยกงานศึกษาของ Crispin Paine นักวิชาการที่ศึกษาวิจัยอย่างยาวนานในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางศาสนาและพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์ มาให้มุมมอง

ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์หลายแห่งเริ่มหันมาสนใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการเป็นวัตถุจัดแสดงแบบสมัยใหม่กับความหมายดั้งเดิมในฐานะศาสนวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น

บางแห่งถึงขนาดที่ยอมผ่อนปรนให้มีการแสดงความเคารพและสักการะโบราณวัตถุได้

ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดดั้งเดิมของพิพิธภัณฑ์

 

อะไรคือเหตุผลของความเปลี่ยนแปลง

จะพลิกฟื้นให้พิพิธภัณฑ์ก้าวออกมาจากโกดังเก็บของได้หรือไม่

และจะมีผลกระทบในเชิงบวกและลบ

มาร่วมเปิด “พื้นที่ระหว่างบรรทัด” ถกแถลงกันอย่างเปิดกว้างและเสรีเถิด! •