ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู? – ศาสนาคริสต์มีรากมาจากยิว แต่ทำไมกินเนื้อหมูได้?

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ศาสนาคริสต์สืบทอดทั้งความเชื่อ ข้อปฏิบัติ ระเบียบ และระบบโครงสร้างของจักรวาลวิทยา รวมไปถึงอะไรต่อมิอะไรอีกหลายสิ่ง มาจากศาสนายูดายของพวกยิว

คิดง่ายๆ ว่า แม้แต่พระเจ้าของชาวคริสต์ ก็ยังเป็นพระยะโฮวาร์ (จะสะกดว่า ยาห์เวห์, ยะโฮวา หรือยะโฮวาร์ ก็นั่นแหละครับองค์เดียวกันทั้งนั้น จะสะกดอย่างไรก็ไม่ผิด) เช่นเดียวกับพวกยิว แถมยังเอาพระคัมภีร์ของยิวมารวบเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ของตนเอง แล้วเรียกว่าเป็น “พันธสัญญาเก่า” (ในขณะที่อะไรๆ ที่เขียนขึ้นหลังยุคของพระคริสต์นั้น ก็จะเรียกรวมๆ กันว่า “พันธสัญญาใหม่”)

แปลว่า กฎข้อห้ามไม่ให้กิน “เนื้อหมู” (รวมถึงของกินอะไรต่างๆ อีกให้เพียบอย่าง) ที่มีบัญญัติเอาไว้ในบทเลวีนิติ (Book of Leviticus) ก็ต้องมีอยู่ในไบเบิล หรือพระคัมภีร์ของพวกเขาด้วย

แต่ทำไมบรรดาชาวคริสต์ถึงกินหมูกันได้หน้าตาเฉย ทั้งที่พระเจ้าของพวกเขาก็ทรงสั่งห้ามเอาไว้ตั้งแต่พระองค์ยังทรงโปรดเฉพาะชนชาวยิวแล้วกันเล่าครับ?

 

การจะตอบคำถามข้อนี้ได้ เราคงต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง “ศาสนายูดาย” กับ “ศาสนาคริสต์” ซึ่งก็มีอะไรที่ทั้งเหมือน และก็ไม่เหมือนกันอยู่มาก

แต่ข้อแตกต่างที่มีนัยยะสำคัญที่สุดเกี่ยวกับกรณีนี้ก็คือ การที่ศาสนายูดายเป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติยิว แต่ศาสนาคริสต์กลับไม่ได้ผูกมัดตนเองให้เป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติใดชนชาติหนึ่งเท่านั้น

แน่นอนว่าลักษณะอย่างนี้ย่อมทำให้ทั้งสองศาสนามีธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป เพราะว่าในขณะที่ศาสนาของชาวยิวจำเป็นต้องสร้างอัตลักษณ์ เพื่อให้แตกต่างจากชนชาติอื่น (ซึ่งก็หมายถึงศาสนาอื่นไปด้วยในตัว) ศาสนาคริสต์กลับจำเป็นต้องเปิดรับ (อย่างน้อยก็เปิดรับมากกว่าศาสนายูดาย) ความหลากหลายต่างๆ เข้ามานั่นเอง

และอะไรในบรรดาความหลากหลายที่ศาสนาคริสต์จำเป็นต้องเปิดรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนายุคต้นของพวกเขาก็คือ วัฒนธรรมของพวก “โรมัน” โดยเฉพาะชนชาวโรมันชั้นสูง

 

พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนด้วยน้ำมือของทหารในสังกัดกรมกองของพวกโรมันนะครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่า อยู่ๆ พวกโรมันจับพระองค์มาทรมานโดยไม่มีสาเหตุ

การปฏิวัติทางความคิดที่พระคริสต์ (มาจากคำว่า Christos ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า พระเมสสิยาห์ ในภาษาฮิบรูของชาวยิว ซึ่งมีความหมายแปลได้ว่า องค์ศาสดาพยากรณ์ผู้รับการเจิม, ปุโรหิต, กษัตริย์, หรือพระผู้ปลดปล่อย ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงความหมายสุดท้าย) หรือพระเยซูทรงเผยแพร่นั้น มีพลังคุกคามสำหรับอำนาจที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ณ ขณะนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่ศาสดาหรือผู้นำชาวคริสต์ในขณะนั้นอย่างองค์พระเยซูเอง จะทรงถูกพวกโรมันจับมาสำเร็จโทษ

ถึงแม้ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ไปในที่สุด แต่ชาวคริสต์ในจักรวรรดิของชาวโรมันก็ยังต้องอยู่กันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นสืบมาอีกนานเลยทีเดียว เนื่องจากมีการกวาดล้างและจับกุมชาวคริสต์ เพราะพวกชนชั้นสูงของโรมก็ยังคงไม่ค่อยจะชอบใจนักกับคำสอนของพระองค์และบรรดาสานุศิษย์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อคนพวกนี้ต่างก็มีลัทธิความเชื่อ ที่มีเทพเจ้าต่างๆ หลากหลายพระองค์เป็นของตนเองอยู่แล้ว

แน่นอนว่า ในจำนวนเทพเจ้าต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้นับรวมเอาพระยะโฮวาร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าพระองค์เดียวเป็นการเฉพาะของพวกคริสต์ และชาวยิวเข้าไปด้วย

 

และก็เป็นบรรดาชนชั้นสูงในโรมพวกนี้แหละครับ ที่กิน “เนื้อหมู” กันในระดับที่รัฐบุรุษ ควบตำแหน่งนักเขียน และนักปาฐกถาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในอารยธรรมโรมันอย่าง พลินี ผู้อาวุโส (Pliny the elder, พ.ศ.566-622) ซึ่งมีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกับสมัยคริสตกาลนั้น ระบุเอาไว้ว่า อุตสาหกรรมเนื้อหมูในสังคมโรมันนั้น ใช้ทั้งเนื้อ, หนัง, เลือด, เท้า, เครื่องใน ไปจนกระทั่งมันหมู และน้ำมันหมู แถมยังมีทั้งหมูบ้าน และหมูป่าอีกต่างหาก โดยท่านยังได้บันทึกเอาไว้ด้วยว่า หมูยังถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นสรวงบูชาต่อเทพเจ้า โดยเฉพาะใช้พระแม่ธรณี (Tellus Mater/Terra Mater) ในพิธีศพเป็นการเฉพาะ

ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่ในบันทึกของพลินี ผู้อาวุโส จะมีการกล่าวถึงอาหารใช้ “หมู” เป็นส่วนประกอบถึง 50 เมนู ซึ่งก็สอดคล้องกันกับหลักฐานของหมู ที่ขุดพบในแหล่งโบราณคดีของพวกโรมัน ซึ่งก็เจอร่องรอยหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นชิ้นส่วนของหมูเอง และงานศิลปกรรมที่มีรูปหมูประดับอยู่ด้วยนะครับ

และที่จริงแล้วก็ไม่น่าแปลกอะไรเลยที่พวกโรมันจะใช้หมูเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง เพราะพวกกรีกนั้นกินเนื้อหมูมาก่อนแล้ว แถมยังมีการทำฟาร์มเลี้ยงหมูกันอย่างเป็นระบบ และก้าวหน้าเอามากๆ เสียด้วย

ก็อย่างที่รู้กันดีแหละว่า พวกโรมันนั้นสืบทอดเอาอะไรหลายๆ อย่างมาจากกรีก ไม่ต่างอะไรจากที่ศาสนาคริสต์รับเอาอะไรสารพัดสิ่งมาจากศาสนาของพวกยิว ดังนั้น ถ้าพวกโรมันจะสืบทอดเอาเทคโนโลยีการเลี้ยงหมู และวัฒนธรรมความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหมู และการบริโภคหมูมาด้วยนั้น ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกที่ตรงไหน?

 

ชาวคริสต์ในยุคแรกเริ่ม ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคที่จักรวรรดิโรมกำลังรุ่งเรือง ก็อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้นี่แหละ และก็แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะแค่การกินเนื้อหมูเท่านั้น พวกเขาอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่กินอะไรต่อมิอะไรสารพัดที่ถูกห้ามไว้ในบทเลวีนิติ ที่พวกเขานับอยู่ในพันธสัญญาเก่า ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่พวกเขาเคารพศรัทธาเป็นที่สุด

การเผยแผ่ศาสนาที่รับเอาคนเหล่านี้ ทั้งที่กินหมู กินสัตว์มีกระดองแข็งอย่างหอย อย่างปู หรืออีกหลายอย่างที่พระเป็นเจ้าขอให้งดเว้นเอาไว้ ดังปรากฏในเลวีนิติของพวกยิว คงจะทำให้บัญญัติข้อห้ามดังกล่าวถูกผ่อนปรนลงไปไม่น้อย ยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นส่วนเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้สังคมวัฒนธรรมของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เท่าที่โลกเคยมีมาอย่าง “โรมัน” การประนีประนอมย่อมดูจะเป็นทางออกที่สวยงาม และดีสำหรับทุกฝ่ายมากที่สุด

แถมชาวคริสต์ในที่นี้ นับวันก็จะยิ่งผิดแผก และกลายเป็นคนละกลุ่มกับชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ไปแล้วนี่ครับ

การนั่งแทะกระดูกหมูสบายใจเฉิบของชาวโรมัน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหนๆ จึงไม่ใช่สิ่งที่ขัดตาอะไรเลย

และยิ่งหากว่าชาวโรมันคนนั้นจะเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปร่วมกินด้วย ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าปลื้มปริ่มเสียนี่กระไร โดยเฉพาะเมื่ออันที่จริงแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานตรงไหนบอกเอาไว้ชัดๆ เลยด้วยว่า พระเยซูเสวยหมู หรืออะไรที่ห้ามไว้ในเลวีนิติหรือเปล่าด้วยซ้ำไป

 

ในท้ายที่สุดเมื่อจักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงประกาศให้ “ศาสนาคริสต์” เป็นศาสนาประจำ “จักรวรรดิโรมัน” เมื่อ พ.ศ.867 จึงเป็นการยุติยุคของการหลบๆ ซ่อนๆ ของชาวคริสต์ทั้งหลาย พร้อมกับการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคที่คริสตจักรกุมอำนาจ อย่างแทบจะเบ็ดเสร็จในทวีปยุโรป หลังการสิ้นสลายของกรุงโรม แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

และยุคสมัยอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวง บิชอป หรือแม้กระทั่งโป๊ปที่ไหนกันเล่า ที่จะไปสนใจว่า การกินหมูนี่มันผิดต่อพระเจ้าหรือเปล่า? สิ่งที่พวกเขาสนใจมากกว่าก็คือ การกินหมูนั้นมันผิดต่อพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ต่างหาก

(แน่นอนว่า ไม่ว่าศาสนาคริสต์ทุกนิกายที่หันมากินหมูกันอย่างไม่สะทกสะท้าน อย่างน้อย คริสตจักรเอธิโอเปียออร์โธด็อกซ์ และนิกายเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ ก็ยังสมัครใจที่จะไม่กินหมูตามอย่างยิว อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะในภาพรวมของคริสต์ศาสนา)

ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่ว่า นึกจะกินหมู หรืออะไรก็ตามที่เคยมีข้อห้ามไว้แล้ว ก็กินมันโดยไม่สนใจพระเจ้าเลยนะครับ พวกชาวคริสต์ในยุคนั้นเองก็ต้องหาข้ออ้างในการกินหมูของพวกเขาอย่างเนียนๆ ด้วยเหมือนกัน

ข้อความบางตอนในบทปฐมกาล (Book of Genesis) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ส่วนพันธสัญญาเก่า บอกว่า ในยุคหลังน้ำท่วมใหญ่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถกิน “ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้” ซึ่งแน่นอนว่า “หมู” ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ ดังนั้น ถ้าเชื่อตามปฐมกาล พระเจ้าก็อนุญาตให้กินหมูได้ และถ้าชาวคริสต์จะกินหมูก็ไม่เห็นจะผิดอะไรไม่ใช่หรือครับ?

(การที่บางส่วน ซ้ำยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในพันธสัญญาเก่า หรือพระคัมภีร์ของพวกยิวอย่าง “ปฐมกาล” ระบุเอาไว้อย่างนี้ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงร่องรอยที่ว่า แต่เดิมนั้นชาวยิวก็คงจะบริโภคอะไรต่อมิอะไรที่เป็นข้อห้ามอยู่ในเลวีนิติด้วยเหมือนกัน)

แต่การอ้างข้อความในบทปฐมกาลยังไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะทำให้พวกเขาไม่ผิดบาปในการกินหมู เพราะยังมีอีกหลายตอนเลยทีเดียวในพันธสัญญาใหม่ (แน่นอนว่าคือสิ่งที่เขียนขึ้นหลังสมัยของพระคริสต์) ที่ระบุว่า พระเยซูทรงประกาศด้วยพระองค์เองว่า “อาหารทั้งหมดนั้นสะอาด”

ซึ่งก็หมายความว่า “หมู” นั้นก็สะอาดด้วย เช่น ความใน มาระโก (Mark 7 : 18-19), โรม (Romans 14 : 2-3), 1 โครินธ์ (1 Corinthians 10 : 25), กิจการ (Acts 10 : 14-15) และ โคโลสี (Colossians 2 : 16-17) เป็นต้น

 

เราอาจจะสรุปความเกี่ยวกับข้อห้ามเรื่องการกินอาหารประเภทต่างๆ ตามแนวคิดในศาสนาคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่ ได้อย่างชัดเจนที่สุดจาก ความจาก 1 ทิโทธี ในช่วงต้นของบทที่ 4 (1 Timothy 4 : 1-5) ซึ่งมีความระบุว่า

“…บัดนี้ พระวิญญาณได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกาลภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ…(เขา) ห้ามรับประทานอาหารซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานด้วยขอบพระคุณ ด้วยว่าสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้รับประทานด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียวเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ชำระไว้แล้ว โดยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน…”

การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า สำหรับชาวคริสต์แล้วพวกที่ไม่กินหมู (และอะไรอีกหลายอย่างตามข้อห้ามในเลวีนิติ) นั่นต่างหากที่ถูกปีศาจล่อลวง เพราะว่าพระเยซูได้บอกเอาไว้อย่างนั้น ใครก็ตามที่ไม่กินหมูจึงเป็นผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระคริสต์

แน่นอนว่าพวกหนึ่งที่ไม่ศรัทธานั้นก็คือพวกยิวที่ไม่กินหมูมาแต่เดิม แต่อีกพวกหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาภายภาคหน้าก็คือ ศาสนาอิสลาม