Audiolab Omnia | Streamer/CD Player & Amplifier

ทุกวันนี้สตรีมเมอร์ที่ผนวกแอมป์ในตัวซึ่งเพียงนำลำโพงมาต่อเข้า ก็สามารถเล่นเพลงฟังเสียงระบบสเตอริโอได้เลยนั้น กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

เนื่องเพราะมิเพียงสะดวกและมีความคล่องตัวในการใช้งานสูงเท่านั้น หากยังสามารถเพิ่มความหลากหลายในการใส่แหล่งโพแกรมอื่นๆ เข้าไปได้ง่ายๆ

อาทิ อยากฟังวิทยุก็เพิ่มจูนเนอร์เข้ามา อยากฟังแผ่นซีดีก็เพิ่มเครื่องเล่นซีดีเข้าไป เป็นต้น

แต่เครื่องที่จะแนะนำเที่ยวนี้ดังที่ได้บอกกล่าวไปเที่ยวก่อนนั่นแหละครับ ว่ามันได้ใส่ภาคขับหมุนแผ่นซีดีคุณภาพสูงเทียบเท่าเครื่อง CD Transport ชั้นเยี่ยมมาให้พร้อมสรรพแล้ว

โดยภาคขับหมุนแผ่นนี้จัดอยู่ในระดับเดียวกับทรานสพอร์ตรุ่น 6000CDT ที่มีระบบ Buffer ทำหน้าที่กักเก็บสัญญาณที่ได้จากการอ่านแผ่น เพื่อการตรวจสอบข้อมูลที่ได้ และหากพบว่ามีปัญหาก็จะทำการปรับความเร็วในการขับหมุนแล้วอ่านซ้ำ

ทำให้มันสามารถอ่านแผ่นที่มีปัญหาจากรอยขีดข่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังจากที่ได้เปิดตัวออกมาเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ.2021 ถึงวันนี้เริ่มจะมีผู้ผลิตบางรายได้ยึดแนวทางในการทำเครื่องลักษณะนี้ออกมาให้เห็นกันบ้างแล้ว และเชื่อว่าอีกไม่นานคงมีเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่ใจดอกนะครับว่าจะไปถึงขั้นเป็นมาตรฐานของเครื่องประเภทนี้ ในลักษณะที่ทำออกมาแข่งกันในตลาดแบบ All-in-One หรือเปล่า

Audiolab Omnia เมื่อครั้งที่ออกตลาดมาใหม่ๆ ได้รับการยกย่องมาก ว่าเป็นผลิตภัณฑ์สตรีมมิ่งที่มีคุณสมบัติครบเครื่องยิ่งนัก เพราะนอกจากจะทำหน้าที่สตรีมได้เป็นอย่างดีและมีภาคเล่นซีดีแล้ว ยังพร้อมรองรับซอร์ซจากภายนอกได้มากกว่ามากทั้งอะนาล็อกและดิจิทัล รวมไปถึงรองรับการทำงานกับแผ่นไวนิลได้ด้วย

ในส่วนของการทำงานด้านสตรีมมิ่งนั้น มาพร้อมทั้งการทำงานผ่านสาย Ethernet, ผ่าน Wi-Fi แบบ Dual-Band และผ่าน Bluetooth โดยมีเสาอากาศให้มาถึงสามต้นที่อาจจะทำให้ดูแปลกตาไปบ้าง เพราะมันใช้รับสัญญาณแยกกันระหว่างไว-ไฟกับบลูทูธ ซึ่งนั้นจะทำให้การรับสัญญาณมีความเสถียรมากขึ้น และหากคุณเล่นเพลงผ่านการสตรีมแบบไร้สายเป็นหลักแล้ว สิ่งที่ออดิโอแล็บให้มาแบบนี้มันดีกว่าทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน

สำหรับภาคการทำงานสตรีมมิ่งเครือข่ายนั้น Omnia ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี DTS Play-Fi ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในเครื่องของออดิโอแล็บเองทั้งในรุ่น 6000A Play (Streamer/Amplifier) และรุ่น 6000N Play (Streamer) ที่คว้ารางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย โดยทำงานผ่านซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น Play-Fi ที่ช่วยให้เข้าถึงผู้ให้บริการชั้นนำมากกว่ามาก อาทิ Spotify, Tidal, Amazon Music, Deezer และ Qobuz เป็นต้น

รวมทั้งการเข้าถึงนานาสถานีวิทยุอินเตอร์เน็ตทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว

แอพพลิเคชั่น Play-Fi ที่รองรับทั้ง iOS และ Android นั้น ยังทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลทางดนดนตรี ที่เชื่อมต่อและเล่นเพลงจากห้องสมุดดนตรีซึ่งได้เก็บเอาไว้ใน NAS : Network Attached Storage หรือ Media Server ที่รองรับเครือข่าย DLNA : Digital Living Network Alliance รวมทั้งยังสามารถนำกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่รองรับ Play-Fi ซึ่งมีอยู่ในระบบ Multi-Room เข้ามาอยู่ภายใต้การจัดการโดยแอพพลิเคชั่นนี้ได้อย่างสะดวก

ได้รับคำชมว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่การทำงานได้อย่างลื่นไหล ใช้งานสะดวก รวมทั้งยังมีความเสถียรมาก

อย่างไรก็ตาม หากต้องการสตรีมเพลงที่มีความละเอียดสูง ควรได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้มีการเปิดโหมดการฟังในแอพพลิเคชั่นที่ถูกต้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการเล่นเพลงนั้นจะได้คุณภาพระดับ 24-bit/192kHz เพราะมิฉะนั้นแล้วมันจะให้การทำงานที่ระดับมาตรฐาน 16-bit/48kHz ที่เป็นการตั้งค่าพื้นฐานให้กับแบนด์วิธแบบมัลติ-รูมนั่นเอง

เครื่องเอื้อความสะดวกในการสตรีมได้อย่างคล่องตัว เชื่อมต่อกับ Spotify Connect ได้รวดเร็ว เช่นเดียวกันกับการทำงานผ่านบลูทูธที่เป็นเวอร์ชั่น 5 ซึ่งสามารถรองรับ aptX, aptX LL, AAC และ SBC ขณะที่หากใช้บริการของ Tidal เครื่องก็ยังรองรับไฟล์เสียงคุณภาพสูงอย่าง MQA ด้วย อีกทั้ง Omnia ยังเป็นเครื่องที่ผ่านการรับรอง Roon Ready เรียบร้อยแล้ว

ในการเชื่อมต่อผ่านสายสัญญาณทางด้านดิจิทัลนั้น มันมีอินพุตและเอาต์พุตให้พร้อมสรรพทั้งแบบ Optical และ Coaxial นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB-B สำหรับการเชื่อมต่อกับ Laptop ซึ่งกับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ตนี้สามารถรองรับไฟล์ความละเอียดสูงได้ถึงระดับ 32-bit/786kHz PCM และ DSD512

รวมทั้งยังมีพอร์ต USB-A สำหรับการทำงานกับฮาร์ด-ดิสก์ ไดรฟ์ ใน PC ให้ด้วย

ส่วนการทำงานกับอะนาล็อกซอร์ซนั้น เครื่องนี้มี Line-Level Input ให้ถึงสี่ชุด รวมทั้งยังมีภาคโฟโฟน สเทจ ที่รองรับการทำงานกับหัวเข็มแบบ MM : Moving Magnet ให้ด้วย อีกทั้งยังมีภาคปรีเอาต์เพื่อการทำงานกับเพาเวอร์-แอมป์ตัวนอกให้ด้วย

นอกจากนี้ ที่แผงหน้าปัดเครื่องยังมีช่องเสียบต่อสำหรับการใช้ชุดหูฟังแบบแจ็กมาตรฐาน 6.3 มิลลิเมตร โดยมีภาคขยายเสียงแยกเฉพาะต่างหาก ซึ่งเป็นแบบที่ใช้วงจร Current Feedback ที่ให้รายละเอียดออกมาได้อย่างน่าฟัง รวมทั้งให้ภาพรวมของเสียงที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพมาก

สำหรับภาครับและขยายสัญญาณหรือในส่วนของแอมปลิไฟเออร์นั้น เป็นแบบ Class A/B ที่นอกจากจะได้รับการออกแบบมาดีด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงแล้ว ยังคัดสรรชิ้นส่วนอุปกรณ์ชั้นเลิศที่เทียบได้กับเครื่องแยกชิ้นปรีแอมป์ และเพาเวอร์-แอมป์ ในตระกูล 6000-Series ที่ได้รับการยกย่องอย่างมาก โดยการออกแบบทางเดินสัญญาณในแผงวงจรนั้น เป็นแบบสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สัญญาณมีความบริสุทธิ์มากที่สุดนั่นเอง

แม้จะบอกกำลังขับเอาไว้เพียง 50 วัตต์/แชนเนล, ที่โหลด 8 โอห์ม แต่ด้วยการทำงานของภาคจ่ายกระแสที่ทรงประสิทธิภาพ ทำให้มันสามารถทำงานขับลำโพงส่วนใหญ่ได้อย่างสบายมาก

กล่าวสำหรับภาคการทำงานในส่วนของ DAC : Digital-to-Analogue Converter นั้น ใช้ชิปประมวลผลคุณภาพสูงของ ESS Sabre DAC 32-bit (รหัส ES9038Q2M ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ES9018K2M) ประกอบเข้ากับวงจรที่ทีมออกแบบได้ปรับแต่งให้ทำงานร่วมกับภาคแอมปลิไฟเออร์ได้อย่างลงตัว จึงทำงานสอดประสานกันได้อย่างยอดเยี่ยม และนำมาซึ่งคุณภาพเสียงอันน่าฟังยิ่งนัก

และสุดท้าย สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้แลดูโดดเด่นขึ้นมาทางด้นภาพลักษณ์อย่างมาก ก็คือจอดิสเพลย์ขนาดใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางแผงหน้าปัดเครื่อง เป็นจอแบบ IPS LCD สีสันสดใสขนาด 4.3 นิ้ว แสดงรายะเอียดและสถานะการทำงานของเครื่องให้เห็นชัดได้แต่ไกล นอกจากนั้นยังปรับให้แสดงความแรงสัญญาณได้ทั้งแบบ VU Meter ที่เป็นเข็มวัดแยกข้างซ้าย/ขวา หรือจะให้แสดงในลักษณะแถบแบบแท่งบาร์ก็ได้ นอกจากจะสวยแล้วยังแลดูเพลินดีด้วย

จะเห็นได้ว่าจากที่กล่าวมานั้น Audiolab Omnia เครื่องนี้ให้ความหลากหลายในการใช้งานมากกว่าเครื่องลักษณะเดียวกันที่เป็นแบบ All-in-One อย่างน่าทึ่งมาก

รวมทั้งทุกอย่างที่ผนวกเข้ามาภายในเครื่อง ล้วนแล้วแต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพเพื่อการนำเสนอคุณภาพเสียงอันทรงคุณค่าอย่างแท้จริง

เปิดตัวในบ้านเราด้วยราคาแปดหมื่นกว่า ข่าวว่าช่วงนี้ลดไปประมาณสองหมื่น เห็นค่าตัวตอนนี้แล้วเร้าใจมากครับ!!! •

เครื่องเสียง | พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]