‘เศรษฐา’ ยึดกองทัพ คุมกลาโหม ส่อง ‘สามก๊ก’ กห. ทีมกุนซือ ‘บิ๊กทิน’ จับตา ศึกชิงเก้าอี้ ผอ.อผศ. วัดพลัง ‘ปลัด กห.’

เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ รมว.กลาโหมคนใหม่ ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน แผง ผบ.เหล่าทัพ ตามวงรอบเกษียณราชการพอดี

จึงเป็นที่จับตามองว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระดับใด เพราะแม้จะเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วสลายสีเหลืองแดงแล้ว แต่กองทัพก็ยังคงไม่ไว้วางใจนักการเมือง และพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันฝ่ายนักการเมืองก็ยังไม่ไว้วางใจกองทัพ เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอีกหรือไม่

การตั้ง นายสุทิน คลังแสง มาเป็น รมว.กลาโหมพลเรือน และการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มาคุมความมั่นคงและคุมกลาโหมด้วยตนเอง จึงย่อมเป็นดัชนีชี้วัดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เพราะหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ดจัดทำโผโยกย้ายทหารส่งท้าย แต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่

โดยดันบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ น้องรักสายทหารเสือฯ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ได้สำเร็จแล้ว

มาตอนนี้ นายเศรษฐาและนายสุทิน กำลังถูกจับตามองว่า จะยึดครองกองทัพในลักษณะใด

 

คีย์แมนหลักจึงยังคงเป็นนายสุทิน ในฐานะ “สนามไชย 1” ที่ต้องดูแลกองทัพโดยตรง และพยายามที่จะเข้ามาแชร์อำนาจแบบนุ่มนวล

เช่น การชิงเก้าอี้ผู้อำนวยการสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ระหว่างคนกลาโหม กับทีมหน้าห้อง รมว.กลาโหม เพราะถือว่าเป็นอำนาจของ รมว.กลาโหมโดยตรง แต่ก็มารอวัดใจนายสุทิน ว่าจะใช้อำนาจ หรือว่าจะยอมรอมชอม

เพราะมีชื่อ เสธ.โก๊ะ พล.อ.ภัทรพล ภัทรพัลลภ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักปลัดกลาโหม อดีตเจ้ากรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และบิ๊กต่าย พล.อ.ชิติพัทธ์ บุญช่วย ที่ปรึกษาพิเศษ สป. อดีตรอง ผอ.อผศ.

ที่สำคัญคือ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 24 ของบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม ที่กำลังสยายปีก ตท.24 คุมกลาโหมและเหล่าทัพ

ขณะที่มีชื่อบิ๊กแต้ม พล.อ.เลิศฤทธิ์ ช่องวารินทร์ รุ่นน้อง ตท.25 ทีมหน้าห้องบิ๊กทิน นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เข้าประกวด เพราะเดิมนายสุทินจะให้เป็นหัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม แต่ก็เปลี่ยนให้ “หม่อมเป๊บ” พล.อ.ม.ล.สุปรีดี ประวิตร นายทหารนอกราชการ มาเป็นหัวหน้าสำนักงานแทน

ที่มีข่าวว่า บิ๊กต่าย พล.ต.ท.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ หัวหน้าทีมงานส่วนตัว มือขวานายสุทิน เป็นผู้ผลักดัน

 

พล.ต.ท.ธนาศักดิ์ ถือว่าเป็นคีย์แมนของนายสุทิน เพราะรู้จักสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่อยู่อีสาน และเป็นคนจัดทีมงานหน้าห้อง ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 21 และ วปอ.56 รวมทั้ง พล.อ.ม.ล.สุปรีดี พล.อ.รักศักดิ์ โรจน์พิมพ์พันธ์ พล.อ.ชัยวิน ผูกพันธุ์ พล.อ.อ.สิทธิชัย แก้วบัวดี พล.ร.อ.พัชระ พุ่มพิเชฏฐ์

ไม่แค่นั้น ด้วยเพราะเคยทำงานกับบิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม มายาวนาน อีกทั้งนายสุทินก็สนิทสนม เคารพนับถือ พล.อ.อ.สุกำพล อยู่แล้ว จึงไว้วางใจ พล.ต.ท.ธนาศักดิ์

ไม่แค่นั้น ยังรวมถึงการคัดเลือกบิ๊กตุ่น พล.อ.อ.สุรพงษ์ พุทธมนต์ อดีตรอง ผบ.ทอ. ลูกทัพฟ้าสายจันทร์ส่องหล้า มาเป็น ผช.รมต.กลาโหม รวมทั้งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.20 กับ พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ อดีต ผบ.ทอ. ที่ก็เคารพนับถือ พล.อ.อ.สุกำพล จนทำให้ พล.อ.อ.มานัต ช่วยคัดเพื่อนเก่งๆ ในรุ่น โดยเฉพาะที่จบนายร้อยเยอรมันด้วยกัน ช่วยทั้ง พล.อ.อ.สุรพงษ์ และ พล.อ.รักศักดิ์ นั่นเอง

จึงกล่าวได้ว่า ในกลาโหมยุคนายสุทิน มีนายทหารอยู่ 3 สายที่กำลังวัดพลังกัน ทั้งทีมหน้าห้อง รมว.กลาโหม ที่มีทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.)

และสายของบิ๊กตู่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ต่อรองผลักดันให้บิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาฯ สมช. น้องรัก มาเป็นเลขานุการ รมว.กลาโหม จนได้ หลังจากพลาดเก้าอี้ รมว.กลาโหม พร้อมดันบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา นายร้อย VMI อดีตเลขาฯ สมช. ลูกหม้อกลาโหมอีกคน มาเป็นที่ปรึกษา รมว.กลาโหม

และสายของข้าราชการประจำในเวลานี้ ภายใต้การนำของบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม และเพื่อน ตท.24 ในกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็น ตท.24 ถึง 2 คน ทั้งบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.คนใหม่

เพราะแม้ พล.อ.สนิธชนก จะเป็นสายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ ลูกรักบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็ตาม แต่โดยตำแหน่ง ก็เปรียบเสมือนเลขาฯ ส่วนตัว ที่ต้องคอยแนะนำและให้ข้อมูลต่างๆ และไปร่วมทุกงานของนายสุทิน

ดังนั้น การเลือก ผอ.อผศ.คนใหม่ ก็จะเป็นการสะท้อนพลังอำนาจของสายอำนาจของ พล.อ.สนิธชนก ว่าจะดันเพื่อนร่วมรุ่น ตท.24 ได้สำเร็จหรือไม่

 

นอกจากในกลาโหมจะมีแผงอำนาจ 3 ขั้ว 3 สาย 3 ก๊ก 3 ปีกแล้ว ยังต้องจับตามองบทบาทของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มาคุมความมั่นคง คุมตำรวจ และคุมกลาโหมเอง ที่จะทำให้กลายเป็น รมว.กลาโหมตัวจริง

ขณะที่นายสุทิน จึงกลายเป็นเสมือน รมช.กลาโหม จนถีงขั้นที่นายสุทินตัดพ้อตัวเองว่า เป็นแค่โฆษกกระทรวงกลาโหม

ส่งผลให้นายสุทินลดการพูดและให้สัมภาษณ์ลง เพราะหากเปิดงาน ก็จะกล่าวตามสคริปต์ หรือถ้าหลบนักข่าวได้ก็หลบ หลังจากมีข่าวว่า นายสุทินถูก “ผู้ใหญ่” เตือนว่าให้สัมภาษณ์ หรือพูดเยอะไป เพราะ รมว.กลาโหม ไม่ควรพูดเยอะ และบางเรื่องก็ไม่ควรพูด

อีกทั้งการพูดเรื่องทหาร เรื่องกองทัพ บางเรื่องนั้น ข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องเรือดำน้ำของ ทร.

ไม่แค่นั้น จะต้องระมัดระวัง ไม่ให้พูดข้ามหน้าข้ามตานายกฯ ที่คุมความมั่นคง คุมกลาโหมเอง

 

แต่บางครั้ง นายสุทินก็ต้องเล่นบทบาทของการเป็น รมว.กลาโหมพลเรือน ที่เข้าใจกองทัพ ปรากฏให้เห็นจากการที่นายเศรษฐาเคยพูดวันแถลงยุทธศาสตร์ชาติของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 65 ในเชิงตำหนิ ว่า “เป็นบุคคลพิเศษ หรืออภิสิทธิ์ชนที่มีอยู่ไม่ถึง 1% ของประเทศ” ส่งผลให้บรรยากาศตึงเครียด และเงียบสนิท ไม่มีเสียงหัวเราะเฮฮา เช่นในเบื้องแรก

จนทำให้วันปิดหลักสูตร วปอ.65 นายสุทิน จะต้องมาเยียวยาความรู้สึกของนักศึกษา วปอ.65 ด้วยการชื่นชมว่า เป็นหลักสูตรที่ดี มีคุณภาพ อยากให้กระทรวง ทบวงด้านการศึกษา นำไปปรับใช้ เพราะมีทั้งองค์ความรู้สมัยใหม่ที่ทันโลก และงานวิจัยที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและใช้ได้จริง สามารถใช้เป็นนโยบายรัฐบาลได้ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง ตรงใจกับที่รัฐบาลคิดไว้ทุกอย่าง และมีกิจกรรมหลายรูปแบบในการสร้างความสัมพันธ์ ละลายพฤติกรรม เพราะที่นี่มีแต่คนเก่งที่จะมาร่วมกันทำงาน เพราะมีการปรับทัศนคติให้ทำงานร่วมกันได้ ความคิดและทัศนคติ เพราะปัญหาของคนในสังคมคือคนเก่งมาทำงานร่วมกันมีปัญหาเรื่องทัศนคติความคิด มาจากสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมองค์กรต่างกัน แต่คนเก่งที่นี่มาบูรณาการความคิด จะมองอะไรที่ตรงกันมากขึ้นกว่าเดิม และเป็นเอกภาพ มีคุณค่ายิ่ง” ส่งผลให้นักศึกษา วปอ.ยิ้มได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเศรษฐา มาคุมความมั่นคง คุมกลาโหมด้วยตัวเอง ก็ส่งผลต่ออำนาจและบารมีของนายสุทิน ลดน้อยลง เพราะการตัดสินใจท้ายที่สุดก็ต้องอยู่ที่ตัวนายกฯ

 

จะเห็นได้ด้วยว่า ผบ.เหล่าทัพชุดปัจจุบัน และชุดใหม่ ที่กำลังจะรับไม้ต่อมีผล 1 ตุลาคมนี้ จะไม่ค่อยมาร่วมงานของนายสุทิน อาจเพราะติดภารกิจ เพราะตั้งแต่วันเข้ากลาโหมวันแรก ก็มี พล.อ.ทรงวิทย์ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ที่เป็นเพื่อน ตท.24 ด้วยกันกับ พล.อ.สนิธชนก

ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพ ตท.23 ไม่มาร่วมงาน ทั้งบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.คนใหม่ และบิ๊กดุง พล.ร..อะดุง พันธ์เอี่ยม ผบ.ทร.คนใหม่

พร้อมๆ กันนี้จะเห็นได้ว่านายเศรษฐาพยายามสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพ กับ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ตั้งแต่การกินข้าวกันอย่างไม่เป็นทางการ แบบไม่เปิดเผย จนมาอีกครั้งหนึ่ง ที่มีการเปิดเผยภาพร่วมวงอาหาร

จนถึงการชวน พล.อ.ทรงวิทย์ เพียงคนเดียว ร่วมคณะเดินทางไปประชุมองค์การสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาด้วย

รวมทั้งอาสาที่จะแก้ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้กับกองทัพเรือ โดยพยายามที่จะนัดคุยกับประธานาธิบดีเยอรมันในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ รวมถึงจะเจรจากับจีน ในโอกาสที่จะเดินทางไปเยือนจีนด้วย ซึ่งก็คาดว่าจะเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพไปด้วยเช่นกัน

โดยมีรายงานว่า หลังจากกลับจากสหรัฐอเมริกาแล้วนายเศรษฐาจะเดินทางไปกัมพูชา โดยจะเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ร่วมคณะไปด้วย

 

นายเศรษฐา ซึ่งเป็นลูกทหาร ก็ดูจะพยายามใช้ความนุ่มนวลรอมชอมกับกองทัพ จึงย้ำว่า จะไม่ใช่การปฏิรูปกองทัพ แต่จะเป็นการพัฒนากองทัพ รวมทั้งเรียกกองทัพว่า เป็นสถาบันอันทรงเกียรติ และตำหนิคนที่ด้อยค่ากองทัพ

อย่างไรก็ตาม นอกจากเป็นการให้ความสำคัญกับกองทัพแล้ว การที่นายเศรษฐามาคุมกลาโหม คุมความมั่นคงเองย่อมเป็นการสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจต่อกองทัพด้วย

เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2 พี่น้องชินวัตร เคยเจอกลลวงของฝ่ายทหารในกองทัพ จนที่สุดถูกรัฐประหารทั้งพี่ทั้งน้อง และต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน

การที่นายเศรษฐามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เสมือนเป็นการกลับมาแก้ไขความผิดพลาด พ่ายแพ้ในอดีต เพื่อที่จะชนะตลอดกาล

นอกจากนี้ มีรายงานว่านายเศรษฐามีแผนที่จะตั้งทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เพื่อมาช่วยดูแลประสานงานกับกองทัพโดยตรง โดยจะมีทั้งนายทหารนอกราชการและในราชการ ที่จะถือเป็นทีมกุนซือที่มีเพาเวอร์

หลังจากที่บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ที่ชื่อหลุดตำแหน่ง ผช.รมต.กลาโหม และมีข่าวว่า จะได้เป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายความมั่นคงแทน แต่ที่สุดก็โดนสกัด 2 ทาง

ทางหนึ่ง เพราะขั้วอนุรักษนิยมเดิม มองว่า พล.อ.นิพัทธ์ เป็นนายทหารหัวก้าวหน้า และมีความรู้เส้นสนกลในกระทรวงกลาโหม และรอบกายก็ไม่เป็นที่แฮปปี้ของ พล.อ.ประยุทธ์

ส่วนในอีกทางหนึ่ง ในพวกเดียวกันกลับมองว่า พล.อ.นิพัทธ์ ไม่แข็งแกร่งพอ แต่จะยอมอ่อนข้อให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นทหารเสือราชินี อยู่ ร.21 รอ.ด้วยกันมา เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังเคยให้เป็น สนช.

พล.อ.นิพัทธ์จึงยังคงไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ต่อไป

 

ขณะที่มีข่าวสะพัดว่า มีชื่อของบิ๊กไก่ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาฯ สมช. ที่กำลังจะเกษียณ ชิงที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ทั้งกระแสข่าวที่ว่า จะเป็นทีมนายกฯ หรือของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะ รมว.มหาดไทย

กล่าวได้ว่า แม้จะเป็นรัฐบาลพลเรือน นายกรัฐมนตรีพลเรือน และ รมว.กลาโหมพลเรือน กองทัพก็ยังคงเป็นเป้าหมายของฝ่ายการเมือง ที่จะคุมให้อยู่หมัด เพื่อถอดสลักรัฐประหาร

โดยเฉพาะการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม 2551 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพล ของกระทรวงกลาโหม หรือที่เรียกว่า 7 เสือกลาโหม อันเป็นกลไกที่ป้องกันไว้ ไม่ให้ฝ่ายการเมืองล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร เพราะหากถึงขั้นต้องโหวต ฝ่ายการเมืองซึ่งมีแค่ 2 เสียง คือ รมว.กลาโหม และ รมช.กลาโหม จะแพ้ ผบ.เหล่าทัพ ที่มีถึง 5 เสียง ทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ., ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ.

แต่หากมีการแก้ไขประเด็นนี้ ก็อาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ในความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ได้เลยทีเดียว

ทุกย่างก้าวจึงต้องระมัดระวัง!