ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ใช้คำว่า “ควิกวิน” (quick win) บ่อยมาก
เพราะเป็นศัพท์ในแวดวงธุรกิจมาก่อน หมายถึงยุทธศาสตร์ของการทำอะไรที่ได้ผลรวดเร็วทันทีเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมงาน
ในความหมายนี้ บางครั้งก็ใช้คำว่า low-hanging fruit หรือ “ผลไม้ใกล้มือ” ที่สามารถยื่นมือไปเด็ดลงมาได้ทันที ไม่ต้องปีนป่ายต้นไม้ขึ้นไปเก็บลูกของต้นไม้ในที่สูง
บางคนถือว่านี่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เฉียบแหลม สามารถเอาชนะคนที่พยายามจะวางแผนทำงานใหญ่ที่กว่าจะเห็นผลก็เนิ่นนานเกินกว่าที่ผู้คนจะรอได้
คำว่า quick win หมายถึง “ได้ชัยชนะมาอย่างรวดเร็ว”
เท่ากับเป็นการชิงความได้เปรียบด้วยการยื้อแย่งโอกาสที่อยู่ต่อหน้าให้ได้ก่อนคนอื่น
นักการเมืองก็หันมาใช้ความคิดอย่างนี้ไม่น้อย
เพราะสอดคล้องต้องวิธีคิดของ “นักเลือกตั้ง” ที่ต้องการให้ชาวบ้านเห็นว่าตนมี “ผลงาน” ที่จับต้องได้ทันที
บ่อยครั้ง quick win จึงออกมาในรูปแบบ “ประชานิยม” นั่นคือการแจกเงิน, แจกของ, แจกซอง และแจกคำหวาน
แต่เดิม คำว่า quick win มีความหมายทางด้านบวก นั่นคือความชาญฉลาดของกลยุทธ์แห่งการช่วงชิงความสำเร็จในช่วงแรกๆ ของการทำงาน
ที่เรียกว่า “สะสมชัยชนะ”
แต่วิธีคิดแบบนี้ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดก็มีอันตรายในตัวมันเอง
เพราะมันคืออีกด้านหนึ่งของเหรียญเดียวกัน
พอใช้คำว่า quick win บ่อยๆ เข้าก็จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เข้าใจว่าไม่ต้องทำอะไรที่ต้องใช้เวลากับความอดทน
พยายามหลีกเลี่ยงการที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในระยะกลางและระยะยาว
และไม่คิดจะเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับความล้มเหลวก่อนที่จะเห็นร่องรอยของความสำเร็จ
quick win อยู่คนละข้างของเหรียญ Long-term solution หรือที่ทุกวันนี้นิยมเรียกกันว่า Sustainable solution
อันหมายถึงการทำงานที่มีเป้าหมายเพื่อระยะยาว เพื่อแสวงหาสูตรที่ยั่งยืน
ไม่เพียงแค่คิดจะชิงความได้เปรียบและอ้างความสำเร็จเฉพาะหน้าเท่านั้น
ดังนั้น นายกฯ เศรษฐาอาจจะหวังดีที่เน้น quick win แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะสร้างความเข้าใจผิดให้บรรดารัฐมนตรีและข้าราชการทั้งหลายว่าให้จ้องหาอะไรที่อ้างเป็น “ผลงาน” ระยะสั้น
เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่ต้องคิดหรือทำอะไรที่เป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถและความอดทนมากกว่า “ผลงานระยะสั้น” มากมาย
ในโลกการเมือง การแสวงหา “ผลงานฉับพลันทันด่วน” เป็นสูตรสำเร็จเหมือนอาหารกระป๋องที่เปิดปั๊บเอาใส่ปากได้เลย
และ quick win ก็มีแนวโน้มที่จะบดบังความสำคัญของการคิดเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว
ทำให้การแก้ปัญหาที่สั่งสมฝังรากมายาวนานไม่ได้รับการแก้ไข เพราะ “มันยาก”
สำหรับ “นักเลือกตั้ง” แล้ว อะไรที่ “ยาก” จะเป็นยาขม จึงพยายามจะหลีกเลี่ยง
หากจะมีแผนระยะยาวเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนก็จะเป็นเพียงเขียนให้สวยหรูบนกระดาษเท่านั้น
แต่ไม่มีวิสัยทัศน์หรือแผนงานที่จะทำให้เกิดผลทางปฏิบัติ
ความเสี่ยงอันสำคัญยิ่งก็คือ quick win จะกลายเป็น Long-term disaster
อะไรที่ได้มาเร็วและง่าย หยิบจากต้นมาก็เคี้ยวกินได้เลยนั้นแม้ว่าจะดูง่ายและเป็นที่พอใจของคนทั่วไปในระยะสั้น แต่เมื่อขาดการวางแผนระยะกลางและระยาวแล้วก็ขาดความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำอย่างจริงจัง
ผลก็คือ “หายนะในระยะยาว”
การคิดอะไรสั้นๆ ง่ายๆ เพื่อหาคะแนนนิยมสำหรับนักการเมืองจึงกลายเป็นโรคระบาดอย่างกว้างขวางในวงการเมืองวันนี้
แต่การมุ่งแต่จะหา quick win นั้นแม้ดูเหมือนจะน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง แต่หากกลายเป็น “ยาเสพติด” แล้วก็จะกลายเป็นวิถีปฏิบัติที่มีราคาที่ต้องจ่ายในระยะยาว
และราคาที่ต้องจ่ายนี้จะแพงขึ้นตลอดเวลา
เพราะเหมือนแก้อาการป่วยของสังคมด้วยยาแก้ปวดเท่านั้น ไม่ยอมวินิจฉัยโรคอย่างจริงจัง
และปฏิเสธที่จะเผชิญความเป็นจริงว่าอาการโรคนั้นหนักหนาสาหัสกว่าเพียงแค่กินยาแก้ปวดเท่านั้น
หมอไม่บอกความจริงกับคนไข้ ทั้งๆ อาการป่วยไข้นั้นหนักจนจะต้องผ่าตัด
แต่หมอรู้ว่าเป็นงานยากกว่าและใช้เวลานานกว่า จึงแค่ให้ยาแก้ไข้แก้ปวดไปชั่วคราว
คนไข้กินยาแก้อาการเฉพาะหน้าไป เกิดความรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ก็หลงเข้าใจว่าหมอคนนี้เก่งมาก
แต่ต่อมาอีกไม่นาน อาการที่แฝงอยู่ปรากฏขึ้นมา ร่างกายทรุดโทรม หมอคนนั้นหายตัวไปแล้ว หมอคนใหม่ก็ให้ยาแก้ปวดต่อ
…คนไข้ก็ตกอยู่ในภาวะโคม่า หรือต้องเสียชีวิต
บางครั้ง quick win ก็อาจช่วยเสริมความนิยมในเบื้องต้นให้กับนักการเมือง
และบางทีมาตรการเฉพาะหน้าระยะสั้นอาจจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นในทันตาเห็น เหมือนฉีดยากระตุ้นสเตียรอยด์
แต่เอาเข้าจริงๆ อาการป่วยของประเทศมีความสลับซับซ้อนเพราะเป็นปัญหาเชิงระบบ มิใช่เป็นโรคปวดหัวตัวร้อนธรรมดา จึงต้องการมาตรการที่มากกว่าเพียงการ “ปะผุ” อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ
ตัวอย่างในหลายๆ ประเทศก็พอจะเป็นบทเรียนที่ควรแก่การนำมาศึกษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา quick win – slow death
ชนะเร็ว – ตายแบบช้าๆ
นโยบายแจกเงินให้ประชาชนโดยไม่มีเป้าหมายและมาตรการรองรับและต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรมเป็นหนึ่งในวิถีแห่ง quick win
เวเนซุเอลา ภายใต้ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ และนิโคลัส มาดูโร ที่สืบทอดอำนาจต่อมาใช้นโยบายแจกเงินสดหลายชุดโดยเอาเงินรายได้จากน้ำมัน
ทันใดนั้นรัฐบาลก็ได้รับความนิยมในหมู่คนยากจนอย่างล้นหลาม
แต่ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
ตามมาด้วยการล่มสลายทางเศรษฐกิจ
และทำให้เกิดความยากจนที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง
“ประชานิยม” แบบ quick win จึงสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหายย่อยยับหากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจที่สร้างการเติบโตอย่างแท้จริงและยั่งยืน
สิ่งที่นักเลือกตั้งต้องการมีง่าย ๆ … นั่นคือประชาชนได้เงินแจกแล้วก็จะหย่อนบัตรเลือกตัวเองหรือพรรคของตนกลับมามีอำนาจปกครองประเทศอีก
เพื่อจะได้เอาภาษีประชาชนมามอมเมาให้ชาวบ้านหลงกลให้นิยมชมชอบตนเองต่อไปอีก
เมื่อหมกมุ่นอยู่กับ quick win รัฐบาลก็จะละเลยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหัวใจของการสร้างชาติ
สิ่งแรกๆ ที่นักการเมืองเมื่อเข้ามามีอำนาจกระโดดลงไปบริหารทันทีคืองบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน
รายการแรกๆ ที่จะค้นหาคือมีเงินงบประมาณก้อนไหนที่จะเอาไปใช้เพื่อเสริมสร้างฐานอำนาจและสร้างความนิยมให้กับตัวเองได้บ้าง
อะไรที่เป็นเรื่องระยะยาวหรือ “ทำยาก” ก็จะเลื่อนออกไป
การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกมองข้าม แต่หันไป “แบ่งเค้ก” ในมวลหมู่นักการเมืองและผู้สนับสนุน
เรื่องยากๆ แต่สำคัญ เช่น การลงทุนด้านการศึกษา ก็จะถูกตัดทิ้งหรือลดทอนจนไม่อาจจะทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้
การตัดงบประมาณด้านการศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะสั้นอาจดูเหมือนเป็น “ชัยชนะฉับพลัน” ที่สร้างเสียงฮือฮาได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของประเทศในการสร้างนวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจโลก
แต่วาทกรรมของนักการเมืองเรื่อง quick win มีความซับซ้อนเพราะมีปมซ่อนเงื่อนอย่างแนบเนียนเสมอ
คำว่า quick win จึงเป็น “กับดัก” ที่ประชาชนจะต้องระแวดระวังไม่ให้ผู้บริหารประเทศที่หวังผลระยะสั้นแต่ไม่สนใจแก้ปัญหาระยะยาวนำมาใช้พร่ำเพรื่อ
จนกลายเป็น “คาถาประจำใจ”
ที่รังแต่จะทำลายอนาคตของประเทศระยะยาว
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022