27 กันยายน ก.ตร.เคาะ ผบ.ตร.ใหม่ ลุ้น เศรษฐา คัดชื่อ 4 แคนดิเดต ประเดิมกฎเหล็กแต่งตั้ง ‘นายพล’

บทความโล่เงิน

 

27 กันยายน ก.ตร.เคาะ ผบ.ตร.ใหม่

ลุ้น เศรษฐา คัดชื่อ 4 แคนดิเดต

ประเดิมกฎเหล็กแต่งตั้ง ‘นายพล’

 

เรื่องราวฉาวโฉ่ มือปืนสมุนกำนันนก หรือนายประวีณ จันทร์คล้าย สังหารโหด พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิตในงานเลี้ยงสำนักงานตัวเอง ต่อหน้าตำรวจ 25 นาย เพราะเสียหน้า ที่ขอย้ายลูกน้องไม่ได้ บานปลายจนกระทั่ง พ.ต.อ.วชิรา หรือ “ผกก.เบิ้ม” ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. ผู้บังคับบัญชา “สารวัตรศิว” ยิงตัวตายตามลูกน้อง

เหตุการณ์ที่เกิดเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ แต่ฐานรากใต้น้ำซึ่งเป็นปัญหาหมกหมมของวงการสีกากีนั้นยิ่งใหญ่มหึมา

ประจวบเหมาะช่วงเวลานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ต้องเลือกแม่ทัพตำรวจคนใหม่ จึงเป็นโจทย์ที่ต้องคัดผู้นำองค์กรมือถึงเพื่อให้ฝ่าวิกฤตแห่งความเสื่อมศรัทธาไปให้ได้

นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งเป็นประธาน ก.ตร.โดยตำแหน่ง ได้ประกาศคำมั่นว่าจะจัดการอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลครอบงำตำรวจ จะทำทุกอย่างเท่าที่มีอำนาจ จะไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก จะบริหารจัดการอย่างถูกต้อง เด็ดขาด และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

…รับรองได้ว่าถ้าหากเจอเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ จะจัดการทันที

 

ข่าวจากกรมปทุมวันแว่วว่า นายกฯ เศรษฐา จะเป็นประธานประชุม ก.ตร. ในวันที่ 27 กันยายน เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ที่จะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนนี้ เพียงวาระเดียว

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีจะคัดเลือกรายชื่อจเรตำรวจแห่งชาติ หรือรอง ผบ.ตร. คำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปราม เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน จากนั้นนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

4 “แคนดิเดต ผบ.ตร.” ที่นายกรัฐมนตรีต้องหยิบชื่อมาเสนอที่ประชุม ก.ตร.เคาะ มีดังนี้

อาวุโสอันดับ 1 พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. นรต.รุ่น 40 ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง จาก ผกก.ถึง รอง ผบ.ตร. 21 ปี

อาวุโสอันดับ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นรต.รุ่น 47 ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง ผกก.ถึงรอง ผบ.ตร. 14 ปี

อาวุโสอันดับ 3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รุ่น 41 มีระยะเวลาดำรงตำแหน่ง ผกก.ถึงรอง ผบ.ตร. 18 ปี

และอาวุโสอันดับ 4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. “สิงห์แดง” รัฐศาสตร์ มธ. มีระยะเวลาดำรงตำแหน่ง ผกก.ถึงรอง ผบ.ตร. 6 ปี

เป็นปีแรกของการใช้ พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ ที่รหัสเรียกขาน “พิทักษ์ 1” เคาะจากที่ประชุม ก.ตร. ปีก่อนๆ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) จะเป็นผู้คัดเลือก

 

สําหรับบรรยากาศสำนักสีกากีขณะนี้นอกจากร่วมสลด 2 นายตำรวจที่เสียชีวิตจากมูลเหตุงานเลี้ยงที่สำนักงานกำนันดังที่นครปฐมแล้ว มีปฏิบัติการข่าวสาร หรือ “ไอโอ” ปล่อยออกมาเป็นระยะๆ

อาทิ แคนดิเดตอันดับ 1 ถ้าไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 จะทาบทามข้ามห้วยนั่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แทน “บิ๊กไก่” พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ที่เกษียณ 30 กันยายนนี้ แต่เมื่อตรวจสอบข่าวปรากฏไม่มี

ขณะเดียวกับสร้างฉากทัศน์ตีกันว่า ถ้าเลือกอาวุโสอันดับที่ 4 โดน ส.ส.ก้าวไกลจัดหนัก จองกฐินซักฟอกเรื่องตั๋วช้างแน่ เป็นต้น

สำหรับการประชุม ก.ตร.ครั้งต่อไป สอดคล้องกับคำพูด “บิ๊กเด่น” ที่ว่า จะมีขึ้นปลายเดือนกันยายน จะเลือก ผบ.ตร.ก่อน โดยรอง ผบ.ตร.ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น แค่คำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบ โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปราม นายกฯ จะเสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ

ทั้งนี้ ลำดับอาวุโสสามารถข้ามได้แต่ต้องมีเหตุผล ว่าคนนี้มีความรู้ความสามารถมากกว่าอย่างไร หรือเหมาะสมอย่างไร คือการใช้ดุลพินิจของนายกฯ ที่เสนอชื่อมา แล้ว ก.ตร.พิจารณาลงมติอีก ขึ้นอยู่กับแต่ละมุมมอง แต่ไม่ใช่กำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เข้าใจผิด

“การเป็นผู้นำหน่วยจะพาองค์กรไปได้ต้องดูหลายมิติ” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ระบุ

 

ส่วนเจตนารมณ์ที่ประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา จะให้ ผบ.ตร.ใหม่ร่วมพิจารณาบัญชี “ผบช.-ผบก.” ร่วมกับตนนั้น คงไม่ทัน เนื่องจากจะเกษียณในวันที่ 30 กันยายน แต่ไม่ได้คิดอะไร จะเอาข้อมูลที่ทำไว้เสนอ ผบ.ตร.ใหม่ว่ามีเหตุผลอะไร เนื่องจากการเป็น ผบ.ตร.มา 1 ปี ทำงานสัมผัสผู้ใต้บังคับบัญชามาระดับหนึ่ง จะเห็นใครดีไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับ ผบ.ตร.ใหม่ที่ต้องการใช้คน เลือกคนที่ตัวเองไว้วางใจ

บิ๊กเด่นกล่าวถึงบัญชีแต่งตั้ง ผบช-ผบก. ใช้เกณฑ์อาวุโส 50% ว่า “เรียงเบอร์ตามอาวุโส ครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ว่าง หลังจากนั้นพิจารณาได้แล้วแต่ดุลพินิจ เจตนารมณ์ ก.ตร.แต่ละท่านไม่เหมือนกัน ความคิดผมอย่างหนึ่ง ก.ตร.ก็อย่างหนึ่ง ผมมองว่า หลังจากที่กำหนดเบอร์แล้ว หยิบข้ามกันได้เลย หลังจากเรียงเบอร์กันแล้ว ไม่อย่างนั้น ดาวรุ่ง ช้างเผือกก็จะไม่มี ถ้าเป็นเอกชนจะรับไม่ได้เลย ต้องยอมรับความจริงว่า จะโตไม่ทันกัน ใครโดดเด่นก็หยิบมาได้ เพราะมีระบบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ขึ้นกับมุมมอง ไม่ก้าวล่วงกัน ต้องดีเบตเหตุผลกัน”

“สำหรับผมเป็นคนชอบลงรายละเอียด แต่ผมให้ความเป็นธรรมเต็มที่ อาจสัมผัสในมุมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็มาถกกันได้ แต่ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็ลงมติ หรือให้เครดิต ผบ.ตร.คนใหม่ที่เขาจะมาใช้งาน ถ้าเขามั่นใจว่าคนนี้ดีเหมาะสม อยากได้คนนี้เป็น ผบช.น.ก็ต้องฟังเขา แต่ผมแนะนำว่าคนนี้ดีอยู่แล้วควรจะเอาคนนี้เหมือนเดิมก็ต้องถกกัน แต่สุดท้ายต้องให้น้ำหนักคนที่เขาจะใช้งาน”

สำหรับมุมมอง พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2565 ยอมรับว่าที่มาการใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะตำรวจใช้ระบบอุปถัมป์มากเกิน จึงต้องลดส่วนนี้ และเน้นคุณธรรม ให้คนทำงานได้ดี แต่เมื่อบังคับใช้แล้วอาจมีความยุ่งยาก เหมือนเขาหวังดีตัดเสื้อมาให้แล้ว โดยที่ไม่ได้ถามว่าคนใส่ชอบสีอะไร

“ส่วนตัวคิดว่าใช้ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับนี้ไปสักระยะต้องมีการปรับ พอดีผมมาเจอ บังคับใช้ยุ่งยากมาก เจอปัญหาเยอะ ปีนี้การแต่งตั้งก็ยาก ติดโน่นติดนี่ หลายคนยังปรับตัวไม่ได้ ใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะปรับตัวได้ดี ยอมรับว่าปวดหัวเรื่องนี้ บางคนอาจไม่เข้าใจ ผมอยากจะทำให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนก็แค่นั้น” ผบ.ตร.คนที่ 13 กล่าวทิ้งท้าย