ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.ก้าวไกล ลูกไม้ใต้ร่มเงา ‘รมต.ปึ้ง สุรพงษ์’ ผู้โค่นเพื่อไทย ในบ้านเกิดทักษิณ

ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคก้าวไกล เริ่มต้นด้วยการคลายความสงสัยว่า หลายคนถามนะครับว่าทําไมผมต้องลงสมัครก้าวไกล คนใกล้ตัวจะถามก่อน เพราะบางคนรู้ว่าคุณพ่อ (สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) อยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน

แต่สําหรับผมจริงๆ ตอนที่เลือก ผมไม่ได้เลือกระหว่างพรรคเพื่อไทยหรือก้าวไกล แต่ผมเลือกก้าวไกลเลยเป็นอย่างแรก ไม่ได้มีการ เปรียบเทียบใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีความคิดที่จะทํางานการเมือง จนเห็นโพสต์เฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกลเชียงใหม่ว่า เปิดรับสมัครผู้สนใจที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ก็เลยกรอกกูเกิลฟอร์มเข้าไป

ย้อนไปในอดีตเคยมีความคิดแวบหนึ่งเมื่อสมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็นานมาแล้ว ว่าเคยสนใจเรื่องท้องถิ่นเทศบาลนคร เพราะว่าเราได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศแล้วได้เห็นระบบขนส่งสาธารณะ เห็นเมืองที่เราสามารถเดินได้ เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ แล้วเรากลับมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเห็นในจังหวัดเชียงใหม่

เราก็คิดว่าเชียงใหม่มันสามารถไปได้มากกว่านี้ แต่ตอนนั้นคุณพ่อเคยบอกความคิดของเขา ว่าถ้าเราตั้งใจจะทําสิ่งดีๆ ไม่จําเป็นต้องเป็นนักการเมืองก็ได้

ผมก็เชื่อ คือเป็นเพียงประโยคเดียวที่คุยกันในเรื่องนี้

 

: นามสกุล มีผลอะไรหรือไม่ในการลงสนาม?

ในความคิดผม ผมไม่อยากให้มันมีผล และตั้งแต่ต้นจริงๆ ผมไม่ได้นำนามสกุลมาใช้ในการหาเสียง เวลาผมลงพื้นที่ ผมแนะนําตัวเองว่า “ณัฐพล ก้าวไกล” หรือ “ก๊อป ณัฐพล นะครับ” ผมนับครั้งได้จริงๆ ที่ผมพูดนามสกุล น้อยมาก และจากที่ผมสังเกตผมคุยกับคน 10 คนจะมีประมาณ 2-3 คนที่จะจําได้ว่า เอ๊ะ เป็นนามสกุลนักการเมืองหรือเปล่า แล้วจะมีแค่ส่วนหนึ่ง ประมาณ 1 ใน 3 ที่จะจําได้เลยว่าคุณพ่อเป็นใครเคยทําอะไรมา เคยอยู่พรรคไหน แล้วก็จะมีอีกสักคนหนึ่งที่จะยังคงถามว่า คุณพ่อสบายดีมั้ย ทั้งๆ ที่คุณพ่อผมเสียชีวิตไปแล้ว

อย่างสัปดาห์ก่อนผมเจอเจ้าหน้าที่สภาก็ยังถามอยู่เลยว่าคุณพ่อสบายดีมั้ยนะครับ ผมก็เลยคิดว่าจริงๆ แล้วนามสกุลมันก็แค่ทําให้คนคลับคล้ายคลับคลา ในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมามีน้อยคนมากที่จะรู้

บทเรียนจากพ่อ คืออะไร

ต้องขยันครับ คุณพ่อผมเขาจะไม่ได้สอนอะไรมาก เพราะผมไม่ค่อยได้คุยกับเขา แล้วผมเป็นคนไม่ค่อยพูด คุณพ่อผมก็ไม่ค่อยมีเวลา แต่ทุกเรื่องที่เขาสอนผมตั้งแต่เด็กคือต้องขยันในทุกเรื่อง อันนี้เป็นหลักเลย

ที่สำคัญคุณพ่อผมพูดเองครับว่าการเมืองมันอันตราย เขาเคยพูดว่า ถ้าเราอยู่ผิดฝั่งก็โดน การเมืองเป็นเรื่องของทีใครทีมัน ใครมีอํานาจก็จะใช้อํานาจกลั่นแกล้งคนอื่นได้ เขาก็เลยไม่อยากให้ยุ่งหรอก

เราก็เห็นสิ่งที่คุณพ่อเราโดนมาบ้าง เวลาคุณพ่อโทร.มาก็บอกว่าไม่ต้องพูดกันเยอะนะ ไม่รู้ว่าโดนดักฟังรึเปล่า หรือมี ป.ป.ช.มาที่บ้านบ้าง มีทหารมาสํารวจส่องหน้าบ้านบ้าง เหมือนเราเห็นสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่สมัยผมเรียนมัธยม แล้วเราก็รู้สึกว่า จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอก คือเขาก็มาตรวจสอบ ไม่ให้เราขยับตัว ไม่ให้เราเคลื่อนไหว

แต่ถามว่าจริงๆ ถึงขั้นจะทําอะไรเราขนาดไหน ก็อาจจะไม่นะครับ ส่วนหนึ่งมันก็ทําให้เราไม่กลัวจนเกินเหตุ ตราบใดที่เราไม่ได้ทําอะไรผิด

เหมือนบรรดานักร้องทั้งหลายที่เขาร้อง จริงๆ แล้ว คนที่ถูกร้อง อาจจะไม่ได้ทําอะไรผิด แต่ว่าการร้องเปรียบเหมือนกับการเอาเชือกไปรั้งให้อีกคนอีกฝั่งเดินช้าๆ ลงหน่อย มันคือการกลั่นแกล้ง เป็นเกมทางการเมือง เหมือนการเดินหมาก ที่ขยับตัวเบี้ยเพื่อหลอกให้เขาเปลี่ยนแผนอะไรแบบนี้ มันทําให้การเดินของเราต้องไม่ประมาท

แต่หลักๆ ถ้าเราทําสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ถ้าคุณบิดเบือน ใช้ตรรกะที่เพี้ยน ใช้เหตุและผลที่ฟังไม่ขึ้นสิ คุณไม่ต้องรอว่าใครอีกฝั่งมาทําอะไรคุณหรอก ประชาชนก็เขาก็ตัดสินได้อยู่แล้ว

 

: พรรคเก่าของพ่อ เคยติดต่อมา?

ไม่เคยเลยครับ

ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเลย ไม่เคยมีใครกริ๊งกร๊างมา ไม่เคยมีเลยครับ

แม้ว่าตอนเปิดสภามาเดินผ่านกันเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นลูกคุณพ่อ

 

: การเอาชนะใน จ.เชียงใหม่ เมืองหลวงพรรคเพื่อไทย และเป็นบ้านเกิดคุณทักษิณ ชินวัตร รู้สึกอย่างไร

ช่วงหาเสียงแรกๆ สัก 1 ปีก่อนหน้านี้ที่เราลงพื้นที่กันล่วงหน้า ความรู้สึกของผมไม่ได้มั่นใจเลยที่ลงในเขต 3 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเกิดอดีตนายกฯ ทักษิณ (สันกําแพง) ความรู้สึกแรกของผมก็คือ ลงเพื่อลอง เพื่ออยากรู้ อยากจะพิสูจน์ ไม่ได้มีความมั่นใจเลย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผลการเลือกตั้งออกมา สิ่งที่ผมดีใจคือ ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน บางคนอาจจะมองว่าคนต่างจังหวัดอาจจะยึดโยงกับการเมืองแบบเดิมๆ

แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนในเชียงใหม่ในหลายๆ เขต ไม่ใช่แค่ในเขตเมือง ในหลายจังหวัดมันแสดงให้เห็นว่าคนตื่นตัวทางการเมือง ติดตามสนใจ โดยที่ไม่ใช่มีแค่ผู้ใหญ่ แต่เป็นเด็กๆ มัธยมปลาย น้องๆ นักศึกษา

ผมลงพื้นที่ผมเจอนะครับ ยังไม่จบ ม.6 เลย แต่เขามาสอบถามถึงนโยบาย ผมคิดว่าความตื่นตัวทางการเมืองของพ่อแม่พี่น้อง มันมีมากขึ้นแล้วเขาเปิดรับข่าวสารมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าจากนี้ไปเชียงใหม่และหัวเมืองใหญ่ๆ ผลการเลือกตั้งจะคล้ายๆ กรุงเทพฯ คือจะสลับไปเรื่อยๆ มีบางพรรคได้ บางพรรคหายไป จะกลายเป็นเมืองที่มีความตื่นตัวทางการเมืองของประชากรมากขึ้น

ดังนั้น เราก็ต้องทําหน้าที่ของเราเต็มที่ ส.ส.เขตก็ต้องทําหน้าที่แก้ไขปัญหาในพื้นที่ และงานในสภาก็ต้องโดดเด่น ไม่ใช่ว่าเราร่วมงานในพื้นที่อย่างเดียว แต่เราไม่มีการแก้ไขเชิงประเด็น เราต้องทําหน้าที่สภานิติบัญญัติแก้ไขกฎหมาย ผ่านร่างกฎหมายสำคัญ แล้วก็สื่อสารต่อไป

แน่นอนที่สุด วันนี้เพื่อไทยเขาเป็นรัฐบาล เขาก็ต้องพยายามทําทุกอย่างเพื่อคะแนนเสียงในวันหน้าหรืออะไรก็ตาม ส่วนเราเป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลหลายคนอาจจะมองว่ารอบหน้าเราจะได้ถล่มทลาย แต่มันก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว มันต้องอาศัยการทํางานหนักอย่างต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือการปักธงทางความคิดซึ่งเป็นคําพูดที่ใช้ตั้งแต่อนาคตใหม่

คำว่ากาก้าวไกลในประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมในมุมมองของผม คือ ประเทศไทยแบบที่ผ่านมามันไม่สามารถไปต่อได้ในโลกปัจจุบัน ทุกวันนี้โลกมันหมุนเร็วมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระแสโลก เทรนด์โลก หรืออะไรก็ตาม เราเคยอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ช่วงปี 2000 ซึ่งผมคิดว่าทุกวันนี้มันเร็วกว่านั้นมาก แต่โครงสร้างของประเทศเรายังเป็นแบบเดิม มันไปต่อไม่ได้

ผมยกตัวอย่างหลังเปิดสภามาได้ประมาณเดือนกว่าๆ สิ่งที่ผู้แทนฯ เพื่อนสมาชิกจะหารือกับท่านประธานสภา เช่น เรื่องน้ำประปา เรื่องถนนไฟส่องสว่างเนี่ย ผมถามจริงๆ เถอะ คุณหารือเรื่องนี้มากี่สมัยแล้ว มันยังคงเหมือนเดิม ถูกต้องมั้ยครับ

จนถึงวันนี้ถามว่า ส.ส.ก้าวไกลรับเรื่องพวกนี้หรือไม่ เรารับ แต่เราจะพูดเรื่องนี้กันถึงเมื่อไหร่ การที่เราบอกว่ากาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม มันอธิบายได้หลายมิติ เรามีสิ่งที่ต้องการจะทํา ในเรื่องการกระจายอํานาจ การยุติรัฐราชการรวมศูนย์ การลดขนาดกองทัพ

เราเชื่อว่าถ้ายังคงเป็นเหมือนเดิมแบบที่ผ่านมาไม่สามารถพาประเทศไทยไปต่อได้ในอนาคต

เพราะฉะนั้น เราถึงบอกว่ากาก้าวไกลสิเราจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไม่เหมือนเดิม เพื่อให้ประเทศไทยไปต่อได้เร็วกว่านี้ ทันสมัยกว่านี้ มากขึ้นกว่าที่เป็นมา

 

: อีกฝั่งมองก้าวไกลเป็นปีศาจตัวใหม่ของสังคม

บางคนอาจจะมองแบบนั้น

แต่สําหรับผม ส่วนตัวผมคิดว่าทุกยุคทุกสมัยมีปีศาจไม่ใช่แค่ประเทศไทย ด้วยในประวัติศาสตร์การเมืองหรือประวัติศาสตร์อะไรบนโลกใบนี้ หลายประเทศมันก็เคยเกิดการเปลี่ยนแปลง

แปลว่าทุกที่มีปีศาจ อยู่ที่ว่าคุณจะมองปีศาจตัวนั้นในลักษณะไหน

ถามว่าก้าวไกลเป็นปีศาจมั้ย ผมก็ว่าไม่ เราไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เราแค่นําเสนอชุดความคิดหนึ่งที่เราเชื่อ แล้วเรานําเสนอสิ่งนั้นให้ประชาชนได้เลือก

สุดท้ายก็อยู่ที่ประชาชนว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ถ้าเห็นด้วยก็ลงคะแนนเสียงให้พวกเรา เราเชื่อในระบบ เชื่อในอํานาจของประชาชนครับ

 

: ความหวังในประเทศนี้ยังมีอยู่

มีความหวังอยู่แล้วครับ จริงๆ เราก็ไม่ได้แพ้การเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง เราก็ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ด้วยอย่างที่พ่อแม่พี่น้องทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงสาม 3 เดือนที่ผ่านมานะครับ

ถามว่าผมผิดหวังไหม ก็ผิดหวัง แต่ไม่ได้ผิดหวังขนาดนั้น

ในความผิดหวังก็มีความหวังนะครับ เพราะว่าเราลงพื้นที่ เรามีคนเข้ามา แชตมาหา มีคนคอมเมนต์มาหา กําลังใจเรายังมีอยู่

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะชะล่าใจ เราก็ต้องทํางาน

ย้ำว่า แต่เราไม่ได้แพ้นะครับ…

ชมคลิป