‘เรียนรู้’ | ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
ชะนีมือขาว - ถึงวันนี้ ชะนียังเป็นสัตว์ที่ถูกนำมาขายให้คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ป่า วิธีที่จะได้ลูกชะนีจากป่า คือ ฆ่าแม่

“โรงเรียน” ในป่าที่ผมเรียนนั้น ไม่ได้มีเฉพาะครู อันเป็นเหล่าสัตว์ป่า ที่หมุนเวียนกันเข้ามาสอน

ครูพวกนี้ไม่ได้สอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการกระทำ สิ่งแรกซึ่งนักเรียนต้องทำเพื่อความเข้าใจในบทเรียนต่างๆ นั่นคือ เปิดใจ รวมทั้งมองเหล่าครูด้วยสายตาอันผ่านหัวใจ เพราะเป็นครูที่ต่างสายพันธุ์

นอกจากนั้น ยังมีครูที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับผม ครูที่เป็นคน ทั้งคนที่ร่วมงาน และคนที่ได้พบเจอ

ครูบางคนทำให้ผมเห็นว่า บทเรียนที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวเขานั้น บางครั้งเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เรื่องเล็กๆ

เรื่องที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร

 

ลุงมับ ชายวัย 60 ปลายๆ บ้านอยู่เชิงเขาที่อดีตเป็นป่าใหญ่ เป็นแหล่งอาศัยอันสมบูรณ์ของสัตว์ป่า

ผมรู้จักกับแก และไปเยี่ยมเยือนแกที่บ้านในดงบ่อย

แม้ว่าสภาพป่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก แต่ดูเหมือนว่า ในค่ำคืนฤดูหนาว ความหนาวเย็นจะยังคงเดิม เวลาค่ำๆ ของบ้านในดงอย่างนั้น การได้นั่งล้อมวงคุยรอบกองไฟหน้าบ้าน ดูจะเป็นความรื่นรมย์ประการหนึ่ง

ลุงมับจะหามัน ไม่ก็ข้าวโพด มาหมกในกองไฟเสมอ

อีกทั้งความร้อนแรงของเหล้า 40 ดีกรี ทำให้ค่ำคืนเต็มไปด้วยเรื่องเล่าต่างๆ

 

“สมัยที่เข้ามาอยู่แรกๆ น่ะ กลางคืนไม่เงียบอย่างนี้หรอก มีแต่เสียงปืน” ลุงมับเริ่มต้นเรื่องเล่าแบบเดียวกับเรื่องเล่าอื่นๆ ที่มักขึ้นต้นทำนองนี้

“ไม่แค่ยิงสัตว์นะ มันยิงคน เพื่อแย่งที่กันก็มี”

สมัยหนึ่ง ในดงเป็นสถานที่ของคนที่ต้องการหนี บางคนหนีจากถิ่นเดิมเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดี บางคนมาด้วยสัญชาตญาณของการแสวงหา บางคนหลบหนีมา

จึงไม่แปลกนัก ที่การตัดสินเรื่องความขัดแย้ง จะใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ

ลุงมับยกแขนขึ้นปัดควันไฟ แขนทั้งสองข้างของลุงมับสั้นกว่าคนปกติหลายสิบเซนต์ แขนสั้นๆ ไม่ใช่อุปสรรค ที่ผ่านมาชื่อเสียงลุงมับ คือนายพราน และเป็นคนจริง ที่น้อยคนจะกล้ามาวอแว

“เข้ามาใหม่ๆ ก็จับจองที่เอา อยากได้ตรงไหนก็ถากถางและเขียนชื่อไว้ที่ต้นไม้ ใครอยากได้เท่าไหร่ก็ได้”

แต่ความจริง ที่ดีๆ ใกล้น้ำเหมาะกับการทำไร่น่ะไม่ค่อยมีหรอก พวกมาก่อนเขาจับจองไว้หมดแล้ว

บางทีเราเขียนชื่อไว้ คนอยากได้เขามาเขียนชื่อทับ ถ้าเราไม่ยอมขยับไปที่อื่น ก็ต้องตามไปยิงกัน

ดงห่างไกล คล้ายเป็นเมืองเถื่อน ราวกับไร้กฎหมาย ทุกคนตัดสินกันเองด้วยปืน

ที่หลายสิบไร่ของลุงมับที่เหลืออยู่ คล้ายจะยืนยันได้ถึงความเป็นคนจริงไม่ยอมใครของแก

 

“ผมชอบหายิงสัตว์มากกว่าทำไร่” ลุงมับเล่าเรื่องการผจญภัย บางครั้งก็เฉียดกับความตาย

“วันนั้น กำลังตามรอยหมู รอยมันพาเข้าไปในซุ้มรกๆ เป็นช่อง ผมคลานตามเข้าไป ไม่รู้ว่างูเหลือมมันดักอยู่ มันทิ้งตัวลงมารัดตัวผม เร็วจริงๆ รัดตลอดตัวเลย มือแนบอยู่กับตัวจะชักมีดก็ไม่ได้ รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จะร้องก็ร้องไม่ออก มันรัดจนกระดูกอ่อนไปหมด จะขาดใจให้ได้ พอดีมันแหย่หางมาแถวๆ หน้า ผมตัดสินใจอ้าปากกัดหางมันเลย กัดจนหางขาดเลือดพุ่งเลอะไปหมด มันคลายการรัดช้าๆ และปล่อยผม ก่อนเลื้อยช้าๆ ออกไป ผมต้องนอนตรงนั้นร่วมชั่วโมง ไปไม่ไหว”

ลุงมับหยุดเล่า ยกจอก 40 ดีกรีขึ้นดื่ม

เรื่องเล่าข้างกองไฟ ที่ไม่จำเป็นต้องคาดคั้นหาความจริง

ชะนีมือขาว – ถึงวันนี้ ชะนียังเป็นสัตว์ที่ถูกนำมาขายให้คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ป่า วิธีที่จะได้ลูกชะนีจากป่า คือ ฆ่าแม่

ประกายไฟแรงจัด ลูกไฟแตกกระจาย คืนข้างแรม ดาวเกลื่อนเต็มท้องฟ้า

“ทำไมถึงเลิกยิงสัตว์ล่ะครับ” ผมถาม

“หลังๆ ผมเริ่มคิดว่า ถ้าไม่หยุดทำเขา วันหนึ่งคงถูกเขาทำบ้างแหละ” แกหยุดมวนยาเส้น จุดพ่นควันโขมง

“คิดมาเรื่อย แต่ที่หยุดจริงๆ นั่น เพราะชะนีตัวหนึ่ง”

ลุงมับเล่าต่อ

“วันนั้น เดินเลาะไปตามห้วยว่าจะหาผักหนามมาจิ้มน้ำพริก ได้ยินเสียงชะนีใกล้ๆ มันโหนกิ่งไม้ข้ามหัวไป ผมยกปืนขึ้นยิง จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจนักหรอก บังเอิญโดน ชะนี ตกลงพื้นดังตุ้บ ยังไม่ตาย มันลุกขึ้น ค่อยๆ เดินโงนเงนๆ”

ภาพสัตว์บาดเจ็บใกล้ตาย ทำให้คนพบเห็น ใจอ่อนไม่ยาก

“ผมมองเห็น นั่นมันตัวผมเลย เดินไหล่ยก แขนแนบลำตัวมือห้อย คล้ายคนแขนสั้นๆ”

“ตั้งแต่นั้น ลุงเลิกเลยเหรอครับ” ลุงมับพยักหน้า

เป็นเพียงเหตุผลง่ายๆ ของคนที่จะหยุด หรือเลิกทำในบางสิ่ง

ไม่ใช่เรื่องซาบซึ้ง ใหญ่โต แต่เป็นเรื่องที่คนที่มองสัตว์ป่า และเห็นผ่านหัวใจ

 

เป็นอีกเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นข้างกองไฟ นานมาแล้ว

ผมจำได้ดี ค่ำวันนั้น ลุงมับใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการเล่า

แต่ดูเหมือนว่า แกใช้เวลากว่า 50 ปี ในการ “เรียนรู้” •