‘ทักษิณ’ ทำได้ ‘ทักษิณ’ ได้ทำแล้ว | เหยี่ยวถลาลม

เมื่อปี 2554 พรรคเพื่อไทย ส่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ได้สำเร็จ

ในปี 2566 ท่ามกลางขวากหนามและกับระเบิด พรรคเพื่อไทยสามารถส่ง “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้สำเร็จอีกคน

ทำได้เช่นนี้ ต้องไม่ธรรมดา!

12 ปีมานี้ ประเทศไทยใช้นายกรัฐมนตรีไม่สิ้นเปลืองเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต ผบ.ทบ. ทำรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แล้วครองอำนาจคนเดียวยาวนาน 9 ปี

ต่างกับเมื่อปี 2551 ที่ประเทศไทยใช้นายกรัฐมนตรีสิ้นเปลืองมากๆ ปีเดียวมีนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน 29 มกราคม นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี, 18 กันยายน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และ 17 ธันวาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ไม่ว่าในช่วงที่ใช้นายกฯ เปลือง หรือไม่เปลือง “เหตุปัจจัย” มาจากเรื่องเดียวกันคือ “ทหารการเมือง”!

ทหารไทยเล่นการเมืองอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2490

เริ่มจากโหม “ปลุกปั่น” ให้ได้ที่แล้วลงมือ “ทำรัฐประหาร” เขียนกติกาหรือรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จ ก็ตั้งพรรคการเมือง จากนั้นจัดให้มี “การเลือกตั้ง” อวดโลก ว่าประเทศนี้อยู่ในโซนศิวิไลซ์

ปล่อยให้เล่นกันไปสักพักก็ปลุกปั่น-ทำรัฐประหาร-เขียนรัฐธรรมนูญ-ตั้งพรรคหรือนอมินี-จัดให้มีการเลือกตั้ง-ปลุกปั่น-ทำรัฐประหาร-เลือกตั้ง

วนเวียนอยู่อย่างนี้ 76 ปี

 

สมัยที่ยังกล้าแกร่ง “ไม่เชื่อ” แต่หลังจากถูกปู้ยี่ปู้ยำมา 17 ปี วันนี้ “ทักษิณ” เข้าใจลึกซึ้ง

“เพื่อไทย” เป็นพรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณที่สืบทอดมาจาก “ไทยรักไทย” และ “พลังประชาชน” ล้วนแต่เคยสร้างประวัติศาสตร์ชนิดที่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดทำลายสถิติได้ เช่น ในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 “ไทยรักไทย” กวาด 377 ที่นั่ง เป็นพรรคเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสภา “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 อย่างสง่างาม

กันยายน ปี 2549 ทหารทำรัฐประหาร ปิดฉากทักษิณตัวเป็นๆ จากนั้นก็ตามด้วย “กิโยติน” ไทยรักไทย!

แต่พอมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 พรรคสายพันธุ์ทักษิณในนาม “พลังประชาชน” ก็กวาดที่นั่ง ส.ส.ได้ถึง 233 ขณะที่คู่ปรับอย่าง “ประชาธิปัตย์” ซึ่งเวลานั้นมากไปด้วย “ตัวช่วย” กลับทำได้ดีแค่ 164 เก้าอี้

“สมัคร สุนทรเวช” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2551

ที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไป!!

อดีตผู้นำนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่เคยเข้าป่าร่วม พคท.จับปืนสู้กับรัฐไทย “สยบ” อยู่ใต้ร่มธงเดียวกันกับ “อดีตผู้นำขวาจัด” สุดสุดในยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

แม้คราวนั้น “ทักษิณ” จะลงทุนผสมพันธุ์ข้ามขั้ว แต่ก็ยังตกเป็น “เป้า” การบดขยี้จาก “ผู้มีบารมี” ที่อาศัย “กองทัพ” และ “กลไก” ในระบบยุติธรรมเป็นเครื่องมือ

“สมัคร” ถูกสอยลงจากเก้าอี้ พรรคพลังประชาชนถูกยุบ!

 

แต่พรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณเหมือนฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย

เรื่องนี้ไม่มีความสลับซับซ้อนอันใด

ทักษิณคิด ทักษิณทำให้กับชนชั้นรากหญ้า ทุกนโยบายมาจากการสำรวจปัญหาและความต้องการของประชาชน ประชาธิปไตยไม่ใช่อุดมการณ์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ นโยบายทั้งหมดทำสำเร็จ จับต้องได้ “พรรคสายพันธุ์ทักษิณ” จึงมีมวลชนเป็นประดุจ “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก”

“เพื่อไทย” ถือกำเนิดขึ้น และลงสู่สนามเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ขณะที่ควันปืนอาวุธสงครามและกลิ่นคาวเลือด 99 ศพ จากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 ยังไม่ทันจางหาย

พรรคเพื่อไทยจึงกวาดที่นั่ง ส.ส.ไปถึง 265 สร้างประวัติศาสตร์ส่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 “นายกรัฐมนตรีหญิง” คนแรกของประเทศ

แต่ยิ่งลักษณ์มา “มือเปล่า” การได้มาซึ่งอำนาจยังไม่ยากเท่า “การรักษาบัลลังก์”

ประเทศกูมี…แค่ย้ายข้าราชการคนหนึ่ง “ยิ่งลักษณ์” ก็ถึงกับ “ร่วง” จากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี!

ความคิดสร้างสรรค์ นโยบายดีๆ ที่วาดหวังจะนำความเจริญล้ำหน้ามาให้กับประเทศ ถูกขจัดขัดขวางจนไปไม่รอด สถานการณ์เดินเข้าสู่อีหรอบเดิม คือเริ่มจากปลุกปั่น

เสร็จแล้วก็ “รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557” -เขียนกติกา-ตั้งพรรค-จัดให้เลือกตั้ง-หัวหน้าคณะรัฐประหารได้กลับมา

 

รอบนี้จัดหนัก รัฐธรรมนูญใหม่ (2560) กำหนดให้ “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” แต่งตั้ง ส.ว.เอาไว้ 250 คน เพื่อทำหน้าที่ “โหวตเลือก” นายกรัฐมนตรี

เมื่อเลือกตั้งครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2562 “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จึงกล้าปราศรัยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ประยุทธ์ต้องการอีก 126 เสียงเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปหาที่ไหน มาเอาจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็ได้แล้ว เป็นนายกฯ แน่นอน มันชัดเจนอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจคนฉลาดจบออกซ์ฟอร์ดอย่างคุณอภิสิทธิ์ ทำไมคิดไม่ออก”

หลังเลือกตั้ง “250 ส.ว.” ที่ประยุทธ์ตั้งก็ยกมือโหวตให้ “ประยุทธ์” ได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้งจริงๆ

แม้ “เพื่อไทย” จะได้รับเลือกตั้งมีที่นั่ง ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 ก็ต้องกลายเป็น “ฝ่ายค้าน”

เลือกตั้งครั้งที่ 2 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 “เพื่อไทย” ต้องไม่เหมือนเดิม!

เพียงแต่พลาดที่ประเมิน “ก้าวไกล” ต่ำไป

ที่ “เพื่อไทย” ต้องการคือ แลนด์สไลด์ ไม่ใช่อันดับ 2

ในสงครามมี “การเจรจา” ในสมรภูมิเลือกตั้งก็มี “ดีล” ประสานผลประโยชน์

สมมุติฐานว่า 1.ถ้าเพื่อไทยชนะท่วมท้น 2.ถ้าชนะไม่ขาด 3.ถ้าแพ้ และ 4.ถ้าแพ้ราบคาบ

ทุกสมมุติฐานต้องมี “ทางไป”

“เพื่อไทย” ชนะไม่ขาด!

แต่คิดล่วงหน้าถ้วนถี่แล้ว ทาง 1 ปล่อยให้ “คู่แข่งทางการเมืองในอดีต” แห้งตายจบชีวิตไปในสมรภูมิครั้งนี้ กับ 1 โดดเดี่ยว “คู่แข่งทางการเมืองปัจจุบัน” ไม่ให้มีโอกาสได้สร้างผลงานที่ประชาชนตื่นตาติดใจ

ส่วน “พรรค 2 ลุง” ที่พรรคหนึ่งสนับสนุน “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กับอีกพรรคที่สนับสนุน “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” นั้นแพ้ยับหมดสภาพ จนไม่อาจนับเป็น “คู่แข่ง” สามารถประสานประโยชน์เฉพาะหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่าได้

ถึงแม้ใครจะว่า ลงทุนสูง มีความเสี่ยงมาก แต่ก็เชื่อว่า “ทำกำไร”

1.ทักษิณได้กลับบ้าน 2.เพื่อไทยเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล ได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรี 3.ได้เป็นฝ่ายบริหาร สามารถนำนโยบายไปทวงคืน “คะแนนนิยม” 4.เพื่อไทยรอดจากภัย “นิติสงคราม” และ 5.ลบมลทินที่ถูกป้ายสี “ไม่จงรักภักดี”!?!!