รัฐบาลฐานลบ?

สมชัย ศรีสุทธิยากร

คณะรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย ใช้เวลาในการเจรจาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อหาบุคคลที่เหมาะสมกว่าหนึ่งสัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2566 ซึ่งเป็นวันที่รัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลที่ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2566

ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 วันของการเสนอข่าวชื่อของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการของกระทรวงต่างๆ เป็นข่าวคราวของความไม่ชัดเจนของชื่อบุคคลที่เปลี่ยนแปลงไปมาและการเจรจาต่อรองในตำแหน่งต่างๆ ทั้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและภายในพรรคเพื่อไทยซึ่งมีสถานะเป็นพรรคแกนนำ

แต่เมื่อประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีออกสู่สาธารณะ คำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถแต่งตั้งคนให้ตรงกับงานที่รับผิดชอบ (Put the right man on the right job) ภูมิหลังความเป็นมา จริยธรรม กลับกลายเป็นประเด็นให้เกิดการถกเถียงและคาดหวังกับการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะสามารถเป็นความหวังของประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดความสำเร็จ

 

หรือยังไม่ทันเริ่มก็ติดลบแล้ว
การจัดสรรตำแหน่งต่างตอบแทน

สูตรการจัดสรรตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นไปตามวิธีที่เคยปฏิบัติ คือ เอาจำนวน ส.ส.ของพรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลทั้งหมดเป็นตัวตั้ง หารด้วยเลข 35 คือ จำนวนรัฐมนตรี (ยกเว้นนายกรัฐมนตรี) ดังนั้น หากจำนวน ส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดคือ 314 เสียง หาร 34 ได้เท่ากับประมาณ 9 ส.ส.ต่อ 1 รัฐมนตรี

ส่วนพรรคไหนจะได้กระทรวงใด กระทรวงใหญ่ กระทรวงเล็ก ขึ้นอยู่กับความสามารถและอำนาจในการเจรจาต่อรอง โดยพรรคแกนนำมักจะขอสงวนตำแหน่งรัฐมนตรีบางกระทรวงหรือในกระทรวงหลักที่มีความสำคัญต่อการทำงานตามนโยบายที่หาเสียงไว้

เมื่อรายชื่อกระทรวงที่ได้ของแต่ละพรรคนิ่ง จึงถึงขั้นว่าจะให้บุคลากรใดของพรรคจะอยู่ในลำดับที่ได้ดำรงตำแหน่งซึ่งมักจะจัดเรียงลำดับจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ตัวแทน ส.ส.ของแต่ละภาค การเป็นผู้สนับสนุนในฐานะนายทุนของพรรค การมีจำนวน ส.ส.ในสังกัด เป็นต้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แต่ละพรรคได้มาว่ามีมากน้อยเพียงไรและจะให้ความสำคัญต่อสิ่งใดมากกว่ากัน

การจัดตั้งรัฐบาลในอดีตยังมีการคำนึงถึงประสบการณ์ ความรู้ความสามารถที่ตรงกับกระทรวงที่ต้องรับผิดชอบ และมักจะมีการเว้นกระทรวงที่ต้องการมืออาชีพเป็นการเฉพาะเป็นโควต้าของคนนอก เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม

แต่หากกวาดสายตาดูคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ คนที่มีความเป็นมืออาชีพ (Professional) อาจจะเหลือเพียง 1 ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้อดีตปลัดกระทรวงการคลังที่เกษียณราชการมาทำหน้าที่ แต่ตำแหน่งอื่นๆ ที่เหลือล้วนต่างตอบแทนโดยไม่ตรงกับความรู้สามารถ

สิ่งที่ปรากฏในสายตาประชาชนที่นำไปสู่ความเชื่อมั่นต่ำ คือ การได้เห็นครูมาดูแลกระทรวงกลาโหม ตำรวจมาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ คนจบรัฐศาสตร์มาดูแลกระทรวงพาณิชย์ คนที่ไม่มีภูมิหลังด้านเทคโนโลยีมาดูแลกระทรวงดีอีเอส หรือ ส.ส.สมัยแรก มาดำรงตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงที่มีผลต่อเศรษฐกิจหลัก เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น

การผลักให้ตัวเองออกจากจุดที่ติดลบ คือ ต้องแสดงความสามารถในการบริหารกระทรวงที่ตนไม่คุ้นเคยให้เกิดผลงานเป็นที่ยอมรับ ผลักดันนโยบายการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในกระทรวงที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ตามใจตามข้อเสนอของข้าราชการประจำหรือเป็นเหยื่อที่ถูกหลอกต้มโดยข้าราชการประจำในกระทรวงนั้นๆ

 

ความคาดหวังในนโยบายและคำสัญญา

พรรคเพื่อไทย ติดลบเบื้องต้นในการปล่อยมือจากพรรคก้าวไกลเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลกับขั้วอำนาจเดิม เป็นการสร้างความรับรู้ครั้งแรกต่อประชาชนว่าเป็นพรรคที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาในเรื่องจุดยืนที่จะไม่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐที่มี 2 ลุงเป็นผู้นำ

การไม่รักษาคำมั่นดังกล่าวเป็นเรื่องที่รุนแรงเนื่องจากเป็นเรื่องของจุดยืนทางการเมืองที่จะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตยที่ต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการและฝ่ายสืบทอดอำนาจ

แม้ว่าจะมีการลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อรับผิดชอบต่อคำพูด แต่สิ่งนี้ไม่เพียงพอกับการเยียวยาความรู้สึกของคนในฝั่งประชาธิปไตย เพราะเป็นการกระทำเพียงเพื่อลดกระแส ไม่มีความหมายในเชิงการลงโทษหากแต่ยังได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญตอบแทน

การลบล้างการติดลบ จึงต้องพยายามในการรักษาคำมั่นสัญญาในนโยบายสำคัญที่เป็นที่จดจำของประชาชน

นโยบายใดที่ประชาชนคาดหวังมากจึงต้องทำให้สำเร็จ เพราะหากยังละเลยที่จะทำตามนโยบาย พรรคเพื่อไทยจะไม่หลงเหลือศรัทธาใดๆ ที่มีต่อประชาชนอีก และจะกลายเป็นพรรคที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

ความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นตัวนำ

สิ่งที่สังคมตั้งความหวัง คือ รัฐบาลใหม่ที่มาจะช่วยฟื้นคืนเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิดและฝีมือในการบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

การมีพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จึงกลายเป็นความหวังด้วยเชื่อมั่นในอดีตสมัยที่คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพรรคไทยรักไทยที่สร้างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจว่าจะนำความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจคืนมาสู่ประเทศ และที่สำคัญคือทำให้คนในประเทศมีเงินในกระเป๋า

นโยบายทางเศรษฐกิจระยะยาว เป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมการลงทุน การส่งเสริมการส่งออก การสร้างงานสร้างรายได้ แต่สิ่งนี้กลับไม่ใช่การหวังผลในระยะสั้นของประชาชน

ประชาชนกลับสนใจสิ่งที่เป็นนโยบายระยะสั้นที่ส่งผลถึงเงินในกระเป๋าและการลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เช่น การแจกเงิน 10,000 บาทแก่ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 56 ล้านคน ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 560,000 ล้านบาท การลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าใน กทม. เป็น 20 บาทตลอดสาย ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนของการดำเนินชีวิตของประชาชน

สิ่งเหล่านี้หากมีอำนาจ มีโอกาส มีเวลาแล้วทำไม่ได้หรือไม่ทำ คะแนนที่ลบ จะติดลบยิ่งขึ้น

 

อย่าลืมประเด็นร่าง
รัฐธรรมนูญใหม่ โดย สสร.

คําสัญญาในประเด็นทางการเมือง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ต้องคดีทางการเมือง การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อในหมู่ประชาชน อาจกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนสำคัญรองจากประเด็นทางเศรษฐกิจ

ประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับปากว่า จะมีการนำเรื่องประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในการประชุม ครม.นัดแรกทันที อาจเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องชั่งน้ำหนักว่า ยังจะรักษาสัญญาหรือจะมีเหตุผลบิดพลิ้วประการใดได้อีก

“ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน ควรเร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน ปรึกษาในพรรคร่วมรัฐบาลแล้วมีความเห็นต่าง หรือก็เพราะประชาชนไม่เลือกพรรคเราอย่างถล่มทลายเลยกลายเป็นข้อจำกัดไม่สามารถทำในเรื่องดังกล่าวได้” ทั้งหมดล้วนอาจเป็นข้ออ้างที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรครัฐบาลสามารถอ้างหากไม่อยากจะทำ

แต่ความไม่พอใจในประเด็นการไม่ทำตามสัญญาของพรรคเพื่อไทยในเรื่องประเด็นทางการเมือง จะกลายเป็นการสิ้นสุดความอดทนและการให้โอกาสพรรคเพื่อไทยในการบริหารประเทศต่อไป

ทำตามคำสัญญาทางเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ คือ แค่เสมอตัว แต่หากไม่รักษาคำสัญญาด้านการเมืองนั้นยิ่งเพิ่มการติดลบ

หากเริ่มจากติดลบ แล้วอยู่ต่อด้วยยิ่งติดลบ รัฐบาลนี้อยู่ยากครับ