เปิดปมฆ่ายกครัว 3 ศพ สลดพ่อปาดคอเมียลูก เครียดแก๊งตุ๋นสูญ 1.7 ล. ‘โจ๊ก’ ลุยกัมพูชาล่าด่วน

งานศพที่พิจิตร

ถือเป็นภัยร้ายแรงที่กำลังทำร้ายสังคมอยู่ในขณะนี้ สำหรับเรื่องของการต้มตุ๋นออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงกู้เงิน ที่อาละวาดสร้างความเสียหายให้คนในสังคมมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แม้เจ้าหน้าที่รัฐจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกวาดล้างภัยคุกคามทางไซเบอร์ แต่ก็ดูจะไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรได้มากนัก มีคนตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นทุกวัน และไม่สามารถติดตามจับกุมตัวการใหญ่ได้ อย่างมากก็เป็นแค่บัญชีม้าที่กระจายเงินที่ได้มาไปอย่างว่องไว

หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ นอกจากสูญเสียทรัพย์สิน ที่บางคนเก็บออมมาทั้งชีวิต หวังเป็นที่พึ่งสุดท้ายในบั้นปลาย จนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว

ยังเป็นการทำลายชีวิตครอบครัว บางคนคิดสั้น หมดหนทางเดินหน้าต่อ จุดจบลงด้วยการฆ่าตัวตายก็มีมากมาย

เช่นเดียวกับครอบครัวของหนุ่มวัย 41 ปี ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ก่อเหตุสังหารโหดภรรยาและลูกอีก 2 คน ก่อนปาดคอตัวเอง หวังตายตกไปตามกัน

โดยมีสาเหตุมาจากความเครียดที่บ้านกำลังจะถูกยึด ภาระหนี้ที่ไปค้ำประกันเงินกู้จากอดีตหัวหน้างาน

มาผสมปนเปเข้ากับที่ภรรยาถูกแก๊งปล่อยกู้นอกระบบหลอกลวง จนสูญเงินที่ไปหยิบยืมคนอื่นมากว่า 1.7 ล้านบาท

ทั้งหมดประกอบกันจนเกิดเหตุสลดดังกล่าว

กลายเป็นคำถามถึงรัฐบาลใหม่ ว่าจะดูแลแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ระงับความสูญเสีย และให้เหตุสลดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย

บิ๊กโจ๊กลุยจับ

พ่อฆ่า 3 ศพเครียดแก๊งคอลตุ๋น

เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 28 สิงหาคม ตร.สภ.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ รับแจ้งเหตุฆาตกรรมหมู่ เกิดขึ้นในบ้านพัก หมู่บ้านจัดสรร ริมถนนหนามแดง-บางพลี ต.บางแก้ว มีผู้บาดเจ็บสาหัส และมีผู้เสียชีวิตหลายราย

ที่เกิดเหตุ เป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น ประตูบ้านด้านล่าง พบศพ น.ส.วิภาพร อายุ 41 ปี และ ด.ช.ปุณณพัฒน์ อายุ 11 ปี ลูกชายคนเล็ก ด้านบนห้องนอนชั้น 2 พบศพ ด.ช.บุญญานนท์ อายุ 13 ปี ลูกชายคนโต ทั้งหมดมีบาดแผลถูกอาวุธมีคมปาดคอและฟันตามร่างกายหลายแผล

ใกล้กันพบร่างนายสาณิช อายุ 41 ปี สามีและบิดาของผู้ตายทั้ง 3 มีบาดแผลถูกปาดคอ และข้อมือ นอนจมกองเลือดหายใจรวยริน ข้างตัวมีมีดตกอยู่ 1 เล่ม เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาล นำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางพลี อาการพ้นขีดอันตราย

สอบสวน น.ส.ฐารินี เส็งสันต์ อายุ 46 ปี หัวหน้านายสาณิช ให้การว่า เมื่อช่วงเที่ยงคืน นายสาณิชโทรศัพท์ไปหา บอกว่าฆ่าลูกเมียหมดแล้ว จึงรีบเดินทางมาที่เกิดเหตุ ก่อนหน้านี้นายสาณิชเคยมาปรึกษาว่า กำลังจะถูกกรมบังคับคดียึดบ้าน แต่เรื่องนี้มีทางออกแล้วคาดเงินไม่เท่าไหร่

ต่อมาไม่นานมานี้ ภรรยาของผู้ก่อเหตุ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจากหลายที่เป็นเงินกว่า 1.7 ล้านบาท ทำให้ถูกเจ้าหนี้มาตามทวงทุกวัน เมื่อไปถึงบ้านพบว่าก่อเหตุสยองตามที่บอกจริงๆ จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที

พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เผยว่า เชื่อว่าผู้ก่อเหตุลงมือก่อเหตุเพราะมีความเครียดเรื่องหนี้สิน ส่วนกรณีที่ถูกแอพพลิเคชั่นเงินกู้หลอกโอนเงินไปกว่า 1.7 ล้านบาท ขณะนี้ตำรวจชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลเร่งไล่ล่าจับกุมผู้ก่อเหตุดังกล่าว

ทั้งนี้พบว่า วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา น.ส.วิภาพร เข้าแจ้งความว่า ถูกแอพพ์เงินกู้นอกระบบในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน โดยเริ่มจากติดต่อขอกู้เงินหนึ่งแสนบาท แต่ถูกให้โอนยอดไปยังบัญชีปลายทาง เพื่อเป็นค่าดำเนินการ ค่าเปิดระบบอะไรต่างๆ กระทั่งโอนเงินไปกว่าล้านบาท

หลังจากที่พนักงานสอบสวนรับแจ้งความ รีบประสานอายัดบัญชีดังกล่าว และอยู่ในระหว่างดำเนินติดตามตัวบัญชีปลายทาง

กลายมาเป็นปมเหตุฆาตกรรมสลดยกครัวครั้งนี้

ถกเครียดนำศพบำเพ็ญกุศล

หลังเกิดเหตุ ก็ยังเกิดปัญหาบานปลายขึ้น เมื่อครอบครัวของนายสาณิช และครอบครัวของ น.ส.วิภาพร ผู้ตาย โต้เถียงกันว่าจะนำทั้ง 3 ศพที่เสียชีวิตทำพิธีทางศาสนาที่ไหน ซึ่งถูกโยงว่าเกี่ยวกับเงินบริจาคกว่า 2 ล้านบาทหรือไม่

นายวัชรินทร์ โตขาว รอง ผอ.สพม. จ.สมุทรปราการ ในฐานะผู้กำกับดูแลเรื่องเงินบริจาคดังกล่าว ระบุว่า หลังเกิดเหตุ โรงเรียนบางแก้วประชาสรรค์ ที่เป็นโรงเรียนของเด็กที่เสียชีวิต ได้เปิดรับบริจาคเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายจัดการงานศพ ซึ่งปรากฏว่า ยอดบริจาคสูงถึง 2,390,000 บาท อยู่ในบัญชีของโรงเรียน ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น คงต้องพูดคุยกันว่าจะตั้งศพไว้ที่ไหน โดยทางโรงเรียนจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนเงินที่เหลือจะดำเนินการอย่างไร คงต้องหารือกันอีกครั้ง

โดยเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 28 สิงหาคม ครอบครัวของนายสาณิช ลำเลียงศพทั้ง 3 ศพ เดินทางมาที่ศาลาวัดถนนงาม หมู่ที่ 1 ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลภายในศาลาวัดดังกล่าว

ขณะที่นายสุรศักดิ์ ราชา อายุ 66 ปี พ่อเลี้ยงของ น.ส.วิภาพร ระบุว่า ไม่ทราบว่าทำไมถึงรับศพกลับไปที่ จ.กำแพงเพชร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้พูดคุยตกลงกันแล้วว่าจะนำศพลูกสาวและหลานชายทั้งสองมาตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดหนามแดง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื่องจากมีญาติพี่น้องที่ทำงานในพื้นที่แห่งนี้ และเพื่อความสะดวกต่อทั้งสองฝ่าย

ในฐานะของบิดาของ น.ส.วิภาพร ไม่ยอมและต้องนำศพลูกสาวและหลานชายทั้งสองกลับมาที่วัดหนามแดง ซึ่งคงต้องไปคุยกับทางนั้นอีกครั้ง โดยอีกสาเหตุที่อยากรับศพลูกหลานมาจัดการที่วัดหนามแดง เพราะแม่ของเขาเสียชีวิตที่นี่และเคยไว้ที่วัดหนามแดง อยากให้ลูกสาวและหลานมาอยู่กับแม่เขา

ส่วนประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องเงินบริจาคนั้น ไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน แต่พอกลายเป็นกระแสนั้น ตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าไม่ยื้อที่จะเอาศพลูกสาวมาที่วัดหนามแดง และตัดสินใจแล้วว่ามอบหมายให้ทาง จ.กำแพงเพชร ดำเนินการตามประเพณี

ส่วนตนเองและครอบครัวก็จะเดินทางไปร่วมงานที่ จ.กำแพงเพชร เพื่อความสบายใจและไม่อยากให้สังคมตราหน้าว่าแย่งศพกัน ส่วนลูกเขยก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ในส่วนตัวก็อโหสิกรรมให้กับลูกเขยที่ก่อเหตุ

ด้านนายพิเชษฐ์ พี่ชายของนายสาณิช ผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า ยืนยันว่าได้รับศพมาถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนเงิน 2 ล้านกว่าบาทที่เปิดรับบริจาคนั้น ไม่ทราบเรื่อง ที่ไปรับศพทั้ง 3 มานั้น เพื่อที่จะมาบำเพ็ญกุศลตามศาสนาเพียงเท่านั้น ส่วนเงินในการทำศพ ยืนยันว่ามีกำลังพอที่จะดำเนินการ

ทั้งนี้ นายสุรศักดิ์ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับนายสาณิช ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย

เป็นคดีความที่เกิดขึ้นจากการลงมือของนายสาณิช

ฆ่าโหดคาบ้าน

ตร.ประสานกัมพูชาลุยจับ

ส่วนเรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท. ระบุว่า จากการตรวจสอบขณะนี้พบเงินของผู้เสียหายถูกโอนต่อไปยังบัญชีม้า 2 แถว รวม 8 บัญชี ส่วนชื่อผู้เปิดบัญชีม้ามี 5 รายชื่อ ซึ่งพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ออกหมายจับไปตามรายชื่อ 5 รายชื่อทั้งหมดแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุมตามหมายจับทั้งหมด

ขณะเดียวกันพบว่ามีเงินของผู้เสียหายที่ถูกโอนไปยังบัญชีม้าถูกเบิกออกมาเป็นเงินสด และถูกโอนไปต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามกล้องวงจรปิดเพื่อหาตัวผู้กดเงินจากบัญชี รวมถึงประสานกับทางธนาคารเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินและติดตามกลุ่มดังกล่าวว่ามีใครเกี่ยวข้อง เพิ่มเติมด้วย

พร้อมแจ้งเตือนเรื่องการกู้เงินออนไลน์ทุกรูปแบบ หากไม่แน่ใจควรตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าเป็นแหล่งเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ มีการเรียกดอกเบี้ยเกินกำหนดหรือไม่

เพราะปัจจุปันคนร้ายจะสร้างกับดักออนไลน์เอาไว้ หากประชาชนตกเป็นเหยื่อจะกู้เงิน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการโอนเงินไปก่อนนั้น อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด เพราะการกู้เงินทั้งออนไลน์และออฟไลน์จะไม่มีการให้ผู้กู้โอนเงินไปก่อนแน่นอน

พล.ต.ต.พัลลพ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับแล้ว 6 ราย เป็นบัญชีม้าแถวแรกที่ผู้ตายโอนเงินไปให้แก๊งมิจฉาชีพ 5 ราย ส่วนอีกรายเป็นหมายจับนายสาณิช ผู้ก่อเหตุ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว น.ส.สุชาดา อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาเจ้าของบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ หลังจากกลับมาจากฝั่งปอยเปต กัมพูชา มาที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พบพฤติกรรมกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มฝั่งไทย 17 ครั้ง กว่า 9 แสนบาท แล้วนำข้ามฝั่งไปให้หัวหน้าแก๊งที่กัมพูชา

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ทราบฐานที่ตั้งของคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้แล้ว โดยที่กัมพูชาออกหมายจับกุมผู้เกี่ยวข้อง 11 ราย ซึ่งมีทั้งชาวจีน ไทย และกัมพูชา ล่าสุดจับได้แล้ว 3 คน อยู่ระหว่างประสาน ผบ.ทบ.กัมพูชา บุกเข้าจับกุมด้วยตัวเอง

เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเอาจริงเอาจัง ไม่ให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้อีก