อินไซด์ ห้องศรียานนท์ เดือด! ประวัติศาสตร์จารึก ‘ก.ตร.ล่ม’ บัญชี ‘โปร่งใส-ธรรมาภิบาล’?

การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อ 25 สิงหาคม ปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สะเทือนองค์กรสีกากีเหมือนมีสึนามิซัดขึ้นฝั่งแล้วกวาดทุกสรรพสิ่งกลับลงทะเลไป

จนประวัติศาสตร์อาณาจักรโล่เงินต้องจารึกไว้

ทั้งวาระสำคัญเสนอชื่อว่าที่ ผบ.ตร.คนที่ 14 และการพิจารณารายชื่อ รอง ผบ.ตร. จนถึง ผบก.ทั่วประเทศ ได้ถูกถอนออกไปเกลี้ยง

ต่อไปนี้บรรดานักการเมือง และ ผบ.ตร.คนที่ 14 ต้องรู้แล้วว่า “พิธีกรรม” ที่ทำจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร การแต่งตั้งโยกย้าย มีทั้งตั๋ว ใบสั่ง คงไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ผ่านมาแล้ว

ย้อนเหตุการณ์วันที่ชาวสีกากีต้องจดจำ

 

เริ่มตั้งแต่ 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เดินทางมาถึง ได้เข้าห้องหารือกับ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒินอกรอบก่อน

เปิดฉากด้วย ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิสายเลือกตั้ง ต่างสอบถามเรื่องความชอบธรรมการแต่งตั้ง ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร.ลงมา เนื่องจากได้โปรดเกล้าฯ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว เห็นสมควรให้เป็นผู้พิจารณาเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ ให้ที่ประชุม ก.ตร.เห็นชอบ เพื่อให้เกิดธรรมาธิบาล ในที่สุด “รักษาการนายกฯ” เห็นพ้องถอนวาระและเดินทางกลับ

พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ ‘บิ๊กเด่น’ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในฐานะรองประธาน ก.ตร. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมต่อไป พิจารณารายชื่อข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.-ผบก. ที่ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกลั่นกรองเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา

ปรากฏว่าประชุมไปถึงเที่ยง ได้สั่งพักการประชุม เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน เริ่มประชุมอีก 13.20 น. ‘บิ๊กเด่น’ สั่งยกเลิกประชุมและถอนวาระซ้ำรอยเมื่อช่วงเช้าอีก

 

เหตุผลที่ต้องถอน เพราะไปต่อไม่ได้ เนื่องจาก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ กูรูกฎหมายตำรวจ ตั้งคำถามจัดเต็ม โฟกัสประเด็นที่มาการทำบัญชีระดับกองบัญชาการ มีประชุมคณะกรรมการพิจารณาโปร่งใส เป็นธรรมหรือไม่ ได้เสนอผู้เหมาะสม สมควรจะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ยึดหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถหรือไม่ หรือมีใบสั่งลงไป

ว่ากันว่าบรรยากาศการประชุมร้อนฉ่ามาก ก.ตร.บางคนถึงขั้นงัดแฟ้มเอกสาร ประกาศว่าหลักฐานที่มีอยู่ในมือสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาได้ จนประธานหัวโต๊ะไปต่อไม่เป็น

บางช่วงสถานการณ์เคร่งเครียดมาก ก.ตร.นายพลคนหนึ่งเดินมาแตะบ่า ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎกติกา คล้ายส่งสัญญาณให้ลดดีกรี พร้อมบอกว่า “พี่น้องกันทั้งนั้น”

แต่ปรากฏว่าหาเป็นผลไม่ การประชุมยังเดินไปอย่างเข้มข้น มีการยกกรณีบัญชี “ผู้บัญชาการ” ว่าง 16 คน ตามกฎ ก.ตร.ใหม่ แต่งตั้งยึดอาวุโส 50% ลำดับ 1-8 ไม่มีปัญหา แต่ลำดับ 9-16 แทนที่จะถัวเฉลี่ยหยิบผู้มีอาวุโสอันดับถัดไปครองตำแหน่งรอง ผบช.ใกล้ครบ 5 ปีขึ้นมาบ้าง กลับไปหยิบคน 2 ปีเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น

ในที่สุดเมื่อผู้นั่งหัวโต๊ะ ยอมถอย “บอร์ดตำรวจ” ได้ตกผลึกร่วมกันว่า การแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นอำนาจของรัฐบาลใหม่ เบื้องต้นเคาะวันประชุม ก.ตร.ใหม่ 22 กันยายน

 

ล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. จะไปประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่สหรัฐอเมริกา วันที่ 19-22 กันยายน จึงมีความพยายามขยับวันประชุมให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 14 กันยายน เพื่อให้ “ขั้วอำนาจเดิม” ได้มีส่วนร่วมในการจัดบัญชีส่งท้ายด้วย

ตามขั้นตอนการแต่งตั้ง “ผบ.ตร.” นายกฯ คัดเลือก ‘พล.ต.อ.’ จากรอง ผบ.ตร. หรือจเรตำรวจแห่งชาติ โดยคำนึงถึงอาวุโส ความรู้ความสามารถ ประกอบกัน เสนอที่ประชุม ก.ตร.เห็นชอบ

จากนั้นให้กองบัญชาการทำบัญชีชงขึ้นมาตามกระบวนการถูกต้องตามกฎหมายใหม่ แล้ว “บิ๊กเด่น” กับ ผบ.ตร.ใหม่กลั่นกรองร่วมกันแล้วเสนอให้ที่ประชุม ก.ตร.พิจารณา

 

ตามร่องรอยเหตุการณ์เดือดจาก “ห้องประชุมศรียานนท์” ไปที่เฟซบุ๊ก พล.ต.อ.เอก โพสต์ตอนหนึ่งว่า ขอวิงวอนให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้งทุกท่าน

ตั้งแต่ ผบ.ตร., ผบช. และ ผบก.ทุกระดับ ได้โปรดกรุณาดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการการแต่งตั้งตามกฎหมายและกฎเกณฑ์การแต่งตั้งทุกประการ

จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาในแต่ละระดับ อย่างโปร่งใส เป็นไปตามระบบคุณธรรม เสนอผู้เหมาะสม สมควรจะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ด้วยการพิจารณาอาวุโส และความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับพี่น้องข้าราชการตำรวจ

อย่าได้ดำเนินการในลักษณะที่อาจถูกล่าวหาได้ว่า มีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ มีการแทรกแซง ไม่มีการประชุม ถกแถลงเปรียบเทียบคุณสมบัติ ผลการปฏิบัติงานของผู้เหมาะสมตามหลักธรรมาภิบาล จัดประชุมพอเป็นพิธี ลงชื่อไว้ในกระดาษใบสุดท้ายรายงานการประชุมก่อนล่วงหน้า หรือตกแต่งจัดเรียงบัญชีลำดับผู้เหมาะสมตามใบสั่งหน่วยเหนือ

“ผมต้องการให้พิจารณาผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน มีอาวุโสและมีความรู้ความสามารถ ต้องได้รับการพิจารณาเลื่อนตำรวจสูงขึ้นในหน่วยที่ดำรงตำแหน่งอยู่ หรือในหน่วยที่มีความเหมาะสม ไม่ให้มีการย้ายข้ามหน่วยอย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเดือดร้อนให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว”

“ขอยืนยันว่าผมและ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน จะทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจของผู้บังคับบัญชาทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎ ก.ตร.โดยเคร่งครัด” พล.ต.อ.เอกระบุ

 

งานนี้ พล.ต.อ.เอก ได้ทั้งดอกไม้และก้อนหิน

ชาวอาณาโล่เงินส่วนใหญ่ที่ไม่มีตั๋ว ไร้เส้น ต่างแซ่ซ้อง “ธรรมาภิบาล” ได้แจ้งเกิดในองค์กรแห่งนี้

แต่ขณะเดียวกันบรรดาเด็กนาย คนถือตั๋ว มีเส้นทั้งหลาย ต่างไม่พอใจ เพราะจะ “เข้าฮอส” อยู่แล้ว กลับโดนสกัด เข้าทำนอง หมูจะหามเอาคานเข้ามาสอด

หลายคนฮึ่มๆ จะฟ้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ถ้าชื่อตัวเองหลุดบัญชีใหม่

ถ้าไตร่ตรองกันดีๆ ในเมื่อกระบวนการพิจารณายังไม่สิ้นสุด วาระถูกถอนออกไป ทำให้บัญชีไม่ได้ผ่านที่ประชุม ก.ตร. ผลที่เกิดขึ้นยังไม่สมบูรณ์หรือไม่?

งานนี้จึงมีทัวร์ลงพร้อมปฏิบัติการดิสเครดิต “ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลง” ที่ไม่ใช่เสมือนตรายาง อย่างที่ผ่านมา

แน่นอนที่เจ้าตัวต้องพิสูจน์ตัวตน โดยมีต้นทุนเกียรติประวัติการทำงานที่พิจารณาได้

จากนี้ไป เห็นแล้วว่า พ.ร.บ.ตำรวจใหม่นั้น ได้แผลงฤทธิ์ตามตัวบทกฎหมายโดย ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิจากเลือกตั้ง ทำให้ “กติกา” ฟังก์ชั่น แล้วค่อยๆ เดินไปสู่การปฏิรูปตามที่มุ่งหวังกัน

 

ฉากทัศน์ต่อไป บอกได้เลยว่า ถ้านายกฯ คนที่ 30 ชงชื่อ ‘ว่าที่ ผบ.ตร.’ อันดับท้ายสุด จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นอีก

เว้นมีสัญญาณแรงส่งมาขนาดฟ้าผ่าเปรี้ยง ถึงจะสะดวกโยธิน

ดังนั้น เวลานี้อย่าได้แปลกใจ ถ้ามีการพูดกันว่า พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.คุมงานมั่นคง อาวุโสอันดับ 1 ค่อยๆ ลอยโดดเด่นขึ้นมา