ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
ถึงวันนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เห็นหน้าค่าตาของคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางถูกใจ หรือไม่ถูกใจ หากติดตามจะพบว่าเป็นการว่ากันไปในเชิงพวกใครพวกมันเป็นกระแสหลักอยู่
ส่วนคนทั่วไปหรือคนส่วนใหญ่ดูจะแสดงท่าทีแบบเฝ้ามอง หรือมีความเห็นแบบแยกแยะเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ได้ขึ้นกับการเป็นพวกใครเสียมากกว่า
ภาพการแสดงออกเช่นนี้น่าสนใจ เพราะหากย้อนกลับไปที่เหตุผลที่ “พรรคเพื่อไทย” ใช้สร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนการร่วมรัฐบาลกับ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งก่อนหน้านั้นประกาศความเป็นพันธิมิตรหนักแน่นในนาม “ฝ่ายประชาธิปไตย” มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับ “พรรครัฐบาลเดิม” ไม่เว้นแม้แต่ “พลังประชารัฐ” และ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ก่อนหน้านั้นรุมตราหน้าว่าเป็น “พรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการ” จำเป็นต้องต่อต้าน
ด้วยการชี้นำให้ประชาชนคิดว่า “สลายขั้วความขัดแย้ง”
สร้างภาพสวยหรูให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เป็นอุปสรรคการพัฒนาประเทศ ระหว่าง “เสื้อเหลือง” กับ “เสื้อแดง” ที่โจมตี ทำลายล้างกันและกันมาตลอดจะจบลงด้วยความร่วมมือในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้
ความรักความสามัคคีที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความร่วมมือในการนำพาประเทศพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรือง
คนไทยเราคิดอย่างไรกับข้ออ้างนี้
“นิด้าโพล” ทำสำรวจเรื่อง “ความขัดแย้งทางการเมือง สลายแล้วหรือยัง?”
ในคำถาม “ท่านเคยเข้าร่วมชุมนุมนุมของกลุ่มต่อไปนี้หรือไม่ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ร้อยละ 87.63 ไม่เคย,
ร้อยละ 4.35 เคยร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-เสื้อแดง),
ร้อยละ 3.13 เคยร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-เสื้อเหลือง),
ร้อยละ 3.05 เคยร่วมกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.),
ร้อยละ 2.82 เคยร่วมกับกลุ่มสามนิ้ว (เสื้อส้ม)
และอีกคำถามคือ “ปัจจุบันอยู่ในกลุ่มการเมืองใด”
ร้อยละ 69.47 ไม่อยู่ในกลุ่มใด, ร้อยละ 19.85 กลุ่มเสื้อส้ม, ร้อยละ 6.44 เสื้อแดง, ร้อยละ 2.59 เสื้อเหลือง, ร้อยละ 1.45 กปปส.
จากคำตอบดังกล่าวสะท้อนว่า การตั้งสมมุติฐานว่าคนไทยแตกแยกกันเป็นกลุ่มตามสีเสื้อ หรือตามการชุมนุมนั้น น่าจะเป็นการแบ่งที่หยาบไปสักหน่อย เพราะในความเป็นจริงคนที่เข้าร่วมในเชิงเห็นดีเห็นงามหรือมั่นคงในอุดมการณ์แบบนั้น เป็นแค่คนส่วนน้อย
สำหรับคนส่วนใหญ่ แสดงออกเป็นเรื่องๆ ไป แม้แรงกระตุ้นหลักๆ จะเป็นมาจากปมประเด็นคล้ายๆ กัน เช่น ความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ โอกาสความก้าวหน้าในอนาคตของชีวิต อิสรภาพทางความคิด และการแสดงออก
เรื่องราวเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับแรงกระตุ้นของคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสังกัดสีเสื้อ หรือกลุ่มอุดมการณ์ใดเป็นการเฉพาะ
ดังนั้น “สลายขั้วการเมือง” ในความรู้สึกของคนทั่วไป จึงเป็นแค่ข้ออ้างของนักการเมืองในการเปลี่ยนขั้วอุดมการณ์ โดยไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการแสดงออกของคนทั่วไป ที่มีความคาดหวังเฉพาะในแต่ละช่วงเวลา
ในสถานการณ์ที่ “ฝ่ายสืบทอดอำนาจเผด็จการ” กระทำการทุกอย่างเพื่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ โดยไม่ให้คุณค่าต่อการตัดสินใจของประชาชน
ท่าทีการเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ย่อมปรารถนาให้นักการเมือง หรือพรรคการเมืองร่วมกันต่อสู้ คงไม่ใช่การเห็นดีเห็นงามกับการไปสมคบกับ “ขบวนการสืบทอดอำนาจเผด็จการ”
ดังนั้น แม้ “สลายขั้วการเมือง” จะเป็นข้ออ้างที่คล้ายจะสวยหรู
แต่ไม่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และการแสดงออกของประชาชนในทางเห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียเท่าไร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022