สรรพสัตว์ ในงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย | ชาตรี ประกิตนนทการ

ชาตรี ประกิตนนทการ

สําหรับคนที่สนใจศึกษางานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบจารีต จะคุ้นเคยดีว่าองค์ประกอบเป็นจำนวนมากที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในงานสถาปัตยกรรมไทยล้วนอาศัยแหล่งอ้างอิงทางความคิดที่เกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับสรรพสัตว์นานาชนิด ทั้งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติและในจินตนาการ

เริ่มตั้งแต่องค์ประกอบตกแต่งอาคาร ไปจนถึงระดับที่ให้แนวคิดต่อการกำหนดรูปทางสถาปัตยกรรม ตลอดจนชื่อเรียกโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม หากเราไล่เรียงดูก็จะเห็นชัดว่ามีเป็นจำนวนมากที่ถูกนิยามขึ้นโดยอ้างอิงกับรูปร่างหรือลักษณะเฉพาะของสัตว์

เราสามารถแบ่งความเกี่ยวข้องระหว่างสัตว์กับงานสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภท

คือ ความเกี่ยวข้องในฐานะที่ถูกใช้เป็นชื่อเรียกองค์ประกอบและโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมไทย

กับ ความเกี่ยวข้องโดยตรงที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์รูปแบบทางสถาปัตยกรรม

ตำราภาพสัตว์หิมพานต์สำหรับผูกหุ่นแห่พระบรมศพ ครั้งรัชกาลที่ 3
ที่มา : หนังสือจิตรกรรมภาพสัตว์หิมพานต์ พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม

ในส่วนแรก มีงานศึกษาหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนนานแล้วว่า กระบวนการก่อสร้างของช่างไทยไม่ว่าจะเป็น “งานช่างชาวบ้าน” หรือ “งานช่างหลวง” ชื่อเรียกอาคาร โครงสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ มักถูกกำหนดขึ้นโดยอิงอยู่กับสัตว์นานาชนิดในธรรมชาติ ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันดี เช่น อกไก่, สันตะเข้, กระเบื้องหน้าวัว, หลังคาปีกนก และ เดือยหางเหยี่ยว เป็นต้น

ส่วนที่เป็นศัพท์ช่างเฉพาะทางสถาปัตยกรรมไทยประเพณีก็พบชื่อเรียกเกี่ยวกับสัตว์เป็นจำนวนมาก เช่น หางหงส์, ช่อฟ้าปากนก, ช่อฟ้าปากปลา, ซุ้มรังไก่, ไม้ข้างควาย, กบทู, บัวปากปลิง, ค้างคาว, ผีเสื้อ, ช่องกบ ฯลฯ

การตั้งชื่อเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อที่ต้องสัมพันธ์กับสัตว์ประเภทนั้นๆ อย่างชัดเจน

เช่น “ช่อฟ้าปากนก” ที่มีรูปทรงเหมือนปากของนก หรือ “ค้างคาว” ในเรือนไทยที่เป็นไม้ยึด “จันทันระเบียง” เข้ากับ “เต้า” ซึ่งเมื่อยึดเข้าด้วยกันแล้ว ไม้ยึดตัวนี้จะมองดูคล้ายกับค้างคาวที่กำลังห้อยหัวเวลานอน เป็นต้น (ดูรายละเอียดเพิ่มใน สมใจ นิ่มเล็ก. สรรพสัตว์ในงานสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557)

บางครั้งชื่อเรียกก็เกิดขึ้นจากการเทียบเคียงตำแหน่งขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมกับธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น “ลายผีเสื้อ” กับ “ลายค้างคาว” ซึ่งลวดลายทั้งสองชนิดนี้มีรูปทรงที่คล้ายกันแต่ตั้งอยู่คนละตำแหน่งกันและเป็นสาเหตุที่ทำให้ชื่อเรียกแตกต่างกัน

โดยลายผีเสื้อจะเป็นลายปูนปั้นส่วนที่อยู่ใต้หลบสันหลังคาซึ่งใช้ตกแต่งภายนอกอาคาร

ส่วนลายค้างคาวจะทำประดับลายฝ้าเพดานภายในอาคาร

ดังนั้น การเรียกชื่อลวดลายทั้งสองจึงยึดตามธรรมชาติของสัตว์ทั้งสองชนิด คือ ค้างคาวเป็นสัตว์อาศัยในที่มืดจึงถูกนำไปเรียกลวดลายที่ประดับบนฝ้าภายในอาคารซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งที่มืดคล้ายกัน ส่วนผีเสื้อเป็นแมลงและอาศัยอยู่ในที่แจ้งจึงถูกนำไปเรียกลวดลายที่ประดับกลางแจ้ง

ปราสาทนกหัสดีลิงค์สำหรับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของล้านนา
ที่มา : หนังสือ สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ

ไม่เพียงแค่การเป็นแรงบันดาลใจในการเรียกชื่อองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียว แต่สัตว์นานาประเภทยังได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างความหมายเชิงสัญลักษณ์ในงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยด้วย

เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า สถาปัตยกรรมมิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมุ่งหวังประโยชน์ใช้สอยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประโยชน์ใช้สอยในแง่ของการทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ในเชิงอุดมคติบางอย่างนั้นคือเป้าหมายที่สำคัญมากอีกประการของการสร้างงานสถาปัตยกรรม

และแน่นอนงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีก็หลีกไม่พ้นธรรมชาติข้อนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่อาจกล่าวได้ว่าล้วนแล้วแต่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป้าหมายในการจำลองพื้นที่ในอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเป็น เขาพระสุเมรุ, ดาวดึงส์สวรรค์, ชมพูทวีป ฯลฯ

ซึ่งการจำลองพื้นที่ในอุดมคติดังกล่าวจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลยหากขาดซึ่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิงสาราสัตว์

พื้นที่พุทธาวาสของวัดไทยในอดีตคือพื้นที่ถูกออกแบบขึ้นโดยมุ่งหวังที่จะให้มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของ “เขาพระสุเมรุ” ตามคติพุทธศาสนา รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่นิยมใช้ในการสื่อความหมายนี้คือการสร้าง “พระปรางค์” ที่เป็นสัญลักษณ์ของภูเขาขึ้นเป็นหลักประธานของวัด โดยล้อมรอบด้วยพระปรางค์ทิศและพระระเบียงที่สื่อความหมายถึง “เขาสัตตบริภัณฑ์” ที่โอบล้อมเขาพระสุเมรุ

และสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลย คือ การสร้างสัญลักษณ์ของป่าหิมพานต์ที่อยู่ใต้ฐานเขาพระสุเมรุ ซึ่งสัญลักษณ์ในส่วนนี้จะถูกสร้างขึ้นผ่านองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับสัตว์หิมพานต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ “ชั้นฐานสิงห์”, “ชั้นฐานครุฑแบก”, ชั้นฐานยักษ์แบก” หรือการสร้างศิลปกรรมรูปสัตว์หิมพานต์ขึ้นมาตั้งเรียงรายอยู่ด้วยรอบฐานพระปรางค์ประธาน เป็นต้น

และเพื่อความสมบูรณ์ทางความหมาย วัดบางแห่ง (เช่น วัดอรุณราชวราราม) จึงได้ออกแบบประติมากรรมที่ตั้งอยู่ในชั้นเรือนธาตุของพระปรางค์ให้เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เพื่อสื่อสารโดยตรงถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุ

พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก อ.เมือง จ.ยโสธร
ที่มา : เว็บไซต์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

พระเมรุมาศ เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความสำคัญของสิงสาราสัตว์ที่เข้ามาเติมเต็มความหมายอันสมบูรณ์ให้แก่งานสถาปัตยกรรม

พระเมรุมาศคือสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ ซึ่งในอีกความหมายหนึ่งก็คือการทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ในการส่งเสด็จพระมหากษัตริย์ในฐานะสมมุติเทพ (พระอินทร์) กลับคืนสู่เขาพระสุเมรุ

ด้วยเหตุนี้ พระเมรุมาศจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถูกออกแบบให้สื่อความหมายของการเป็นเขาพระสุเมรุให้ชัดเจนที่สุด ซึ่งไม่มีองค์ประกอบใดที่จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุดมากไปกว่าการออกแบบรูปจำลองสัตว์หิมพานต์ตั้งโดยรอบพระเมรุมาศ ไม่ว่าจะเป็น ช้าง, สิงห์, หงส์, กินรี, ราชสีห์, คชสีห์ ฯลฯ

ภาพวาดบันทึกเหตุการณ์พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเพทราชาในสมัยอยุธยา แสดงให้เห็นริ้วกระบวนอัญเชิญพระบรมศพที่นำขบวนด้วยหุ่นรูปสัตว์หิมพานต์ขนาดใหญ่มากถึง 18 ตัว สิ่งนี้เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างงานสถาปัตยกรรมกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ในการสร้างความหมายพิเศษแก่ตัวงานสถาปัตยกรรม

หากขาดซึ่งรูปสัญลักษณ์ของสัตว์หิมพานต์เหล่านี้ เขาพระสุเมรุย่อมไม่อาจสมบูรณ์ได้

 

นอกจากการใช้รูปสัตว์เพื่อสร้างพื้นที่ในอุดมคติแล้ว สัตว์หิมพานต์ยังถูกใช้ในบริบทอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น การใช้รูปทรงพญานาคออกแบบขึ้นเป็น “สะพานนาค” ในปราสาทหินของวัฒนธรรมเขมรที่มีเป้าหมายเพื่อเป็นสัญลักษณืในการเปลี่ยนผ่านจากโลกมนุษย์เข้าสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า

การใช้ตัว “มอม” ในวัฒนธรรมภาคเหนือ หรือ “มกร” ในวัฒนธรรมอีสานมาออกแบบเป็นราวบันไดก่อนเข้าโบสถ์ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยป้องกันรักษาสิ่งชั่วร้ายไม่ให้ย่างกรายเข้าไปในโบสถ์

หรือแม้กระทั่งการสร้างสถาปัตยกรรมขึ้นเป็นรูปสัตว์ทั้งตัวอาคารก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้เช่นกันในหลายพื้นที่ เช่นกรณีการสร้างเมรุรูป “นกหัสดีลิงค์” (นกที่มีรูปร่างเหมือนช้าง) ตามธรรมเนียมเจ้าเมืองในภาคอีสานที่เมื่อถึงแก่กรรมแล้วมักจัดงานศพเป็นการใหญ่โตมโหฬารและทําเมรุเป็นรูปนกหัสดีลิงค์

 

สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ทางการออกแบบของช่างไทยและบทบาทหน้าที่ของสรรพสัตว์ต่างๆ ที่มีต่อการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทย

โลกทัศน์ดังกล่าวได้ช่วยก่อรูปสิ่งที่เรียกว่างานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีให้เกิดขึ้น และยังสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยในสังคมไทยปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก จ.ยโสธร คือหนึ่งในตัวอย่างล่าสุดของความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ตามความเชื่อท้องถิ่นกับงานออกแบบสถาปัตยกรรม

สำหรับหลายคนในวงการสถาปนิก อาจมองพิพิธภัณฑ์พญาคันคากด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจต่อการออกแบบ

แต่สำหรับผม นี่คืองานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของไทยที่น่าทึ่ง เป็นงานที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคน ชุมชน กับสัตว์ได้อย่างตรงไปตรงมาและท้าทายวิธีคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ

หากวงการสถาปัตยกรรมหันมาสนใจศึกษากลุ่มอาคารที่ออกแบบเป็นรูปสัตว์นานาชนิดขนาดใหญ่ ที่กำลังเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในสังคมไทยร่วมสมัยอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าจะทำให้เราเข้าใจความคิดและโลกทัศน์ของผู้คน

ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ฝั่งรากลึกระหว่างสถาปัตยกรรมกับสรรพสัตว์ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากยิ่งขึ้น