รัฐบาลเพื่อไทย ในยุคที่ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

มีคนพูดเยอะว่าเลือกก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม และยิ่งการเมืองหลังเลือกตั้งผ่านไปเท่าไร มุมมองของคนจำนวนมากที่มีต่อประเทศก็ยิ่งไม่เหมือนเดิมขึ้นเท่านั้น เพราะขบวนการสกัดไม่ให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาลแล้วตัวเองตั้งรัฐบาลแทนนั้นโจ่งแจ้งจนไม่เหลือให้คิดเป็นอื่นได้เลย

ล่าสุด พรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการดันคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาล แต่เส้นทางสู่ทำเนียบของเพื่อไทยก็ถูกมองว่าไม่ตรงไปตรงมา, การไม่รักษาคำพูดกับประชาชน และ “ดีลลับ” ซึ่งทำให้ยากที่จะอ้างว่าเพื่อไทยเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย และยากที่คนจะเชื่อถือเหมือนเดิม

นอกจากเพื่อไทยจะได้ตำแหน่งนายกฯ โดยจับมือกับทุกพรรคขั้วคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จนโดนวิจารณ์ว่าไม่ซื่อตรงกับประชาชน พรรคเพื่อไทยยังได้ ส.ว.โหวตคุณเศรษฐาถึง 152 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงผิดปกติ เพราะ ส.ว.ที่เป็นพวกคุณประยุทธ์ยกมือให้เพื่อไทย ทั้งที่คุณประยุทธ์รัฐประหารล้มรัฐบาลเพื่อไทย

จากข้อมูลรายชื่อ ส.ว.ที่โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ นายพลที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารกับคุณประยุทธ์, นายพลเพื่อนก๊วนกอล์ฟ และนายพลที่เป็นรัฐมนตรีหลังคุณประยุทธ์รัฐประหารปี 2557 ล้วนลงคะแนนเห็นชอบคุณเศรษฐาเกือบ 20 คน ถึงแม้คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่มาลงคะแนนก็ตาม

 

“ดีลลับ” คือหนึ่งในข้อหาที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ลงคะแนนเสียงให้เพื่อไทยจนพรรคล้มเหลวในการเลือกตั้งปี 2566

แต่ผลเลือกคุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ชี้ว่าพรรคเพื่อไทยกับคุณเศรษฐามี “ดีลลับ” จนได้คะแนนเสียงจาก ส.ว.ฝ่ายคุณประยุทธ์ ขณะที่ไม่มีดีลกับคุณประวิตรมากอย่างที่เป็นข่าวออกมา

ด้วยจำนวน ส.ว.ฝ่ายประยุทธ์ที่โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ เกือบ 120 คน คุณเศรษฐาเข้าทำเนียบด้วยความสนับสนุนของฝ่ายคุณประยุทธ์ทั้งในพรรครวมไทยสร้างชาติและ ส.ว.รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 160 ซึ่งมากกว่าเสียงของเพื่อไทยและเครือข่ายอย่างพลังประชาชาติกับเสรีรวมไทยรวมกัน

พูดรวบรัดที่สุด “ฝ่ายประยุทธ์” คือเสียงส่วนใหญ่ที่สุดในการโหวตคุณเศรษฐาเป็นนายกฯ จึงเป็นคนกลุ่มที่เพื่อไทยต้องตอบแทนยิ่งกว่ากลุ่มอื่นๆ ไม่ใช่แค่ให้กระทรวงพลังงาน ทั้งที่พรรครวมไทยสร้างชาติมี ส.ส.แค่ 36

แต่อาจหมายถึงการไม่ทำอะไรที่แตะต้องคุณประยุทธ์หลังพ้นตำแหน่งเลย

 

นางแบกและไอโอพรรคสร้างวาทกรรมว่าคุณเศรษฐาไม่ใช่ “นายกฯ ส้มหล่น” หากคือนายกฯ ที่เพื่อไทยเจรจากับทุกฝ่ายจนได้ตั้งรัฐบาล

แต่ “เจรจา” แตกต่างจาก “ฮั้ว”, “เล่นละคร” หรือ “เกี้ยเซียะ” และพันธมิตรระหว่างเพื่อไทยกับคุณประยุทธ์คือเรื่องของการฮั้วที่ไม่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเลย

คุณชัยธวัช ตุลาธน แห่งพรรคก้าวไกลพูดถูกว่าเพื่อไทยตั้งรัฐบาลโดยเกรงใจผู้มีอำนาจทุกฝ่าย แต่ไม่เกรงใจประชาชน แต่เมื่อคำนึงถึงชัยชนะของคุณเศรษฐาได้เสียงโหวตจาก ส.ว.สายทหารฝ่ายคุณประยุทธ์ท่วมท้น คำพูดที่ตรงกว่าคือเพื่อไทยเข้าทำเนียบโดยเป็นพันธมิตรกับทุกฝ่าย แต่ไม่ซื่อตรงกับประชาชน

ที่ผ่านมาเพื่อไทยถูกวิจารณ์มากอยู่แล้วเรื่องโกหกช่วงหาเสียงว่า “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และ “ปิดสวิตช์ 3 ป.” แต่ด้วยการจับมือกับทุกพรรคที่แพ้เลือกตั้งจนชนะโหวตโดยมีฝ่ายคุณประยุทธ์เป็นเสียงส่วนใหญ่ พรรคเพื่อไทยไม่เพียงแต่ไม่ปิดสวิตช์ หากยังเปิดสวิตช์ให้คนกลุ่มนี้มีอำนาจอย่างที่เคยเป็น

 

เพื่อไทยมี “ดีลลับ” ก่อนเลือกตั้งกับใครหรือไม่ เป็นเรื่องที่หลายคนรู้กัน แต่ “ดีลลับ” หลังเลือกตั้งมีแน่ๆ จนเพื่อไทยได้เป็นนายกฯ เพราะ ส.ว.และพรรครัฐบาลประยุทธ์ทั้งหมด จะขาดไปก็แค่พรรคปัดเศษซึ่งไม่มีแล้ว

ผลก็คือรัฐบาลเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลประยุทธ์ที่เปลี่ยนแค่มีคุณเศรษฐาเป็นผู้นำ

เพื่อไทยต้องจ่ายอะไรเพื่อตอบแทนคุณประยุทธ์เป็นเรื่องที่ต้องดูต่อไป ลำพังแค่เก้าอี้รัฐมนตรีดีๆ คงไม่พอ คุณประยุทธ์ซึ่งคุมเสียง ส.ว.จะไม่ได้อะไร ยกเว้นจะมีการให้หลักประกันเรื่องไม่แตะต้องกองทัพ, ไม่ขุดคุ้ยความผิดคุณประยุทธ์ที่เพื่อไทยเคยอภิปราย รวมทั้งไม่รื้อฟืนคดีคนเสื้อแดงปี 2553

ถ้าจะอ้างว่าคุณเศรษฐาได้เสียงโหวตจากทหารและ ส.ว.เพราะเพื่อนเยอะหรือเจรจาดี ไม่มีตรงไหนในการเจรจานี้ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเลย

มีข่าวแพร่สะพัดตั้งแต่กลางปี 2564 ว่าผู้มีอำนาจต้องการเปลี่ยนตัวนายกฯ จากคุณประยุทธ์เป็นคนอื่นเพื่อรักษาไว้ซึ่ง “ระบอบ” ในช่วงที่โควิดลุกลามจนคะแนนนิยมคุณประยุทธ์ดิ่งเหว

ชัยชนะของคุณเศรษฐาทำให้เกิดการ “เปลี่ยนคน” แต่ “ไม่เปลี่ยนระบอบ” จนมีรัฐบาลที่โผ ครม.สารรูปดูไม่ได้เลย

 

ด้วยโครงสร้างรัฐบาลที่พรรคขั้วประยุทธ์คือเสียงส่วนใหญ่ในรัฐบาลเพื่อไทย คุณเศรษฐาจะเป็นนายกฯ ที่มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นคนหน้าเดิมจากรัฐบาลประยุทธ์เกินครึ่ง ความไม่พอใจที่คนมีต่อรัฐบาลประยุทธ์จะถูกถ่ายโอนมาที่รัฐบาลคุณเศรษฐาจนไม่มีเวลาฮันนีมูนอย่างแน่นอน

ตรงข้ามกับกองเชียร์ที่แบกจนเลอะว่าการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้คือการประนีประนอมเพื่อหาทางออกให้ทุกคน วิธีตั้งรัฐบาลแบบนี้คือการ “ฮั้ว” ที่ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ “ต่อรอง” ระหว่างผู้มีอำนาจและประชาชนในรัฐบาลนี้เป็นเพียงเบี้ยเพื่อจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเท่านั้นเอง

ด้วยคำแถลงของเพื่อไทยเรื่องการตั้งรัฐบาล 11 พรรคที่จะไม่มีก้าวไกล เพื่อไทยจงใจประกาศความต้องการไล่ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านอย่างโจ่งแจ้ง

เช่นเดียวกับคำแถลงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อไทยไม่มีวันจับมือก้าวไกล และพร้อมจะตั้งรัฐบาลแข่ง หากไม่มีรัฐธรรมนูญแบบนี้บังคับใช้ในปัจจุบัน

ท่าทีพรรคเพื่อไทยและตำแหน่งนายกฯ ที่ได้เพราะเสียงโหวตจาก ส.ว.ฝ่ายคุณประยุทธ์คือรูปธรรมที่ชี้ว่า “ระบอบเก่า” ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ถึงขั้นที่สามารถสนับสนุนให้ “ศัตรู” อย่างพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายคุณทักษิณเป็นนายกฯ จนเป็น “พันธมิตรใหม่” เพื่อต่อต้านความเปลี่ยนแปลง

 

จุดแข็งของเพื่อไทยถึงไทยรักไทยและพลังประชาชนคือเป็นพรรคที่อยู่ข้างคนส่วนใหญ่จนเป็นผู้นำ (Agent) ความเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนทางเศรษฐกิจก็เปลี่ยนทางการเมือง แต่การจัดตั้งรัฐบาลปี 2566 ที่เพื่อไทยเป็นแกนนำพรรคขั้วประยุทธ์จะเป็นครั้งแรกที่เพื่อไทยกับคนส่วนใหญ่อยู่ตรงข้ามกัน

เพื่อไทยยอมรับว่าข่าว “ดีลลับ” ทำให้คะแนนเสียงหดหายในการเลือกตั้ง 2566 แต่ยิ่งการตั้งรัฐบาลเต็มไปด้วยการดีลกับฝ่ายคุณประยุทธ์ และ 16 งูเห่าประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่แหกมติพรรคไปโหวตคุณเศรษฐาหลังแกนนำยอมรับว่าพบคุณทักษิณที่ฮ่องกงมาแล้ว คะแนนนิยมต่อเพื่อไทยยิ่งมีโอกาสหดหายทวีคูณ

ประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เมื่อใดที่อำนาจรัฐทำให้ประชาชนเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาล ความรู้สึกว่ารัฐบาลเป็นของประชาชนก็จะหดหายไปและทดแทนด้วยความรู้สึกว่าใครคือนายตัวจริงของรัฐบาล

เพื่อไทยตั้งรัฐบาลคราวนี้โดยไม่ได้ชนะเลือกตั้งและไม่ใช่เสียงข้างมากในรัฐบาลตัวเอง การบริหารนโยบายในสถานการณ์จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องพูดถึงต้นทุนเรื่องประชาธิปไตยที่จบไปแล้วพร้อมกับการหันหลังให้คนส่วนใหญ่ไปจับมือกับพรรค 2 ลุง

หวังว่าเพื่อไทยจะไม่ไปถึงขั้นทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่ารัฐบาลนี้จรรโลงไว้ซึ่งรัฐซ้อนรัฐภายใต้รัฐพันลึกที่มีเพื่อไทยเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้นเอง