ว่ายวน | เรื่องสั้น : ขวัญเรียม จิตอารีย์

เรื่องสั้น | ขวัญเรียม จิตอารีย์

ว่ายวน

 

มันควรจะเป็นยามเย็นวันพักผ่อนที่ดีวันหนึ่ง หญิงวัยสี่สิบบอกตัวเองขณะเดินเลาะเลียบริมสันอ่างเก็บน้ำ สถานที่พักผ่อนใกล้เมือง วันนี้เธอนั่งทำงานในห้องทั้งวัน เอกสารสินเชื่อเงินกู้ของลูกค้ากองเป็นตั้ง มันล้นข้ามวันศุกร์มาสู่วันเสาร์มานานแล้ว จากตอนเริ่มถึงวันนี้จนมันกลายเป็นความปกติ พนักงานทุกคนต้องทำเหมือนกัน เธอเดินทอดน่องไปตามเส้นทางที่วนเป็นวงรอบอ่าง หลายคนในชุดกีฬาวิ่งแซงไปด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หญิงสาวอยากโกยเอาพละกำลังของความหนุ่มแน่นมาใส่ตัวเองบ้าง แต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นมาวิ่งหรือทำอะไรก็ตาม ละอองฝอยจากน้ำพุพุ่งสูงกลางอ่างพอให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เธอเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพียงลำพัง ริมสันอ่างอัดแน่นด้วยก้อนหินลาดลงสู่แอ่งน้ำลึก วันนี้มีกลุ่มหนุ่มสาว คู่รัก และกลุ่มครอบครัว มานั่งเล่นเดินเล่นหนาตาเพราะเป็นวันหยุด บางคนบรรจงก่อก้อนหินดูคล้ายเจดีย์จิ๋ว บ้างก็วางต่อจากที่คนอื่นก่อไว้ หินแต่ละก้อนเป็นเหมือนคำอธิษฐาน มันจึงสูงขึ้นจนกว่าจะก่อซ้อนอีกไม่ได้ เชื่อกันว่าถ้าก่อแล้วไม่ล้มจะสมปรารถนา ความเชื่อใหม่ตามสมัยนิยมจากซีรีส์เกาหลีญี่ปุ่น หรืออาจเป็นแค่การทดลองจัดสมดุลของน้ำหนักกับจุดศูนย์ถ่วงก็ได้ ริมสันอ่างจึงมีหินก่อเหมือนเจดีย์เล็กๆ ให้เห็นประปรายไปทั่ว เด็กชายวัยประถมสามคนกำลังช่วยกันก่อหินขณะหญิงคนนั้นเดินผ่าน ไม่ใช่คำอธิษฐานขอพร แต่เป็นการแข่งขัน เมื่อหินก้อนบนสุดวางไม่ถูกตำแหน่ง ไม่ถูกเหลี่ยมมุม อาจมีน้ำหนักเบาหรือหนักเกินไป การจัดสมดุลไม่ใช่เรื่องง่าย เสียงก้อนหินพังทลายลงก็ดังตามมา พร้อมกับเสียงผิดหวังของเด็กๆ แล้วพวกเขาก็ก่อมันขึ้นมาใหม่ หญิงคนนั้นหันไปมองแว้บหนึ่ง มีเสียงคลิกดังขึ้นในหัว ท่วงท่าการเดินของเธอยังทอดน่องเชื่องช้า ไกลไปจากกลุ่มเด็ก เธอยกขาขึ้น รองเท้าผ้าใบพื้นนุ่มสำหรับเดินเงื้อถีบลงไปบนยอดเจดีย์พวกนั้น มันต้องมีการทำลายอะไรบ้าง คำอธิษฐานนี่ร่วงหล่นเสียงดังดีจัง เธอพูดกับตัวเอง ขณะพังทลายหินแต่ละก้อนกระทบกัน กระจายตัวกระแทกกับพื้นหินที่อัดแน่นเป็นสันอ่าง กลิ้งไปตามความลาดเอียง เธอนึกถึงเสียงน้ำแข็งละลายกระทบในแก้วเมื่อเหลี่ยมมุมแปรเปลี่ยน มันฟังดูเพราะดี กลุ่มหนุ่มสาวและคู่รักที่นั่งแถวนั้น พวกเขาเพียงหันมามองแล้วหันไปคุยกันต่อ อาจเป็นเรื่องเดิมที่คุยค้างไว้ หรืออาจเป็นเรื่องของหญิงวัยกลางคนหน้าตาเรียบเฉย ไม่มีอะไรให้จดจำคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นคนที่ซ่อนอาการทางจิตบางอย่างไว้ก็ได้ เด็กๆ ยังถือก้อนหินค้างในมือขณะนิ่งมอง พวกเขาอาจคิดวิธีเล่นแบบใหม่ออก เธอเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าเดิม เดินแวะลงไปถีบกองหินทีละกอง ทีละกอง ผ่านไปถึงกองที่เจ็ดหลังเธอค่อยๆ เหยียดตรง ชูแขนขึ้นบิดขี้เกียจไปมา แล้วเธอก็เดินผ่านหินอีกกองหนึ่งไปเหมือนคนไม่อยากกินอะไรเพิ่ม รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นเหมือนได้รับพลังวิเศษ อากาศยังร้อนอ้าว เมฆทำแค่ตั้งเค้าครึ้มอยู่ทั้งวัน ไม่แน่คืนนี้ฝนอาจตก คำอธิษฐานจากก้อนหินจะละลายหายไปในน้ำ อากาศจะเย็นสบายเหมาะแก่การหลับสนิททั้งคืน เธอรู้สึกปลอดโปร่ง ตัวโล่งเบาจากการปลดปล่อยด้วยการทำลายอะไรลงไปบ้าง

มีของเพียงไม่กี่อย่างที่เธอสามารถทำลายได้

 

เส้นทางบรรจบครบรอบตรงจุดให้อาหารปลา เธอดึงขนมปังออกมาจากเป้ เพิ่งนึกได้ว่ามีซองผ้าป่าจากที่ทำงานค้างอยู่ เชิญร่วมทำบุญสร้างเจดีย์พระธาตุอะไรสักอย่างที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ นอกจากพันธสัญญาเรื่องบุญที่เธอจะได้รับ เธอบรรจงฉีกใบบอกบุญเป็นชิ้นเล็กๆ กดมันจมลงในขนมปังเนื้อนิ่ม พร้อมบิเป็นชิ้นเล็กๆ โยนลงในน้ำ ฝูงปลาดุกรอท่าอยู่แล้วตามความเคยชิน เธอนั่งบิขนมปังอย่างใจเย็น ฝูงปลากรูกันเข้ามาจนน้ำกระเด็นเซ็นซ่าน พวกมันเบียดเสียดก่ายเกยกันขึ้น ดิ้นขลุกขลักยื้อแย่งอาหาร ปลาบางตัวผิวหนังเต็มไปด้วยรอยข่วนแทงจากเงี่ยงของตัวอื่น ป๊าปลาเยอะมาก ปลาเยอะมากๆ เลย เด็กชายวัยอนุบาลจ้องมองและส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น พวกแกจะได้บุญด้วยนะ เธอบอกปลาอยู่ในใจ มุมปากยิ้มนิดๆ พวกแกจะได้ขึ้นสวรรค์ในน้ำที่เต็มไปด้วยคำอธิษฐาน เธอโบกมือให้เด็กน้อยหลังจากให้ขนมปังบุญจนหมด ปลายังว่ายตามกันมา มีปลาคาร์ฟทั้งตัวสีส้ม ขาวล้วน ขาวแต้มสีส้มแดงดำ ปะปนมาด้วย สงสัยเจ้าของคงอยากทำบุญด้วยการปล่อยสัตว์เลี้ยงสู่อิสรภาพ ไม่ว่าใครก็อยากมีอิสรภาพ แต่ไม่มีใครมีมันจริงๆ หรอก ลองสาวเชือกที่พันมือ แขน ขา รัดแน่นบนหัวดูสิ เธอเห็นเชือกยุ่งเหยิงพวกนั้น ดูนั่นสิ พ่อแม่ลูก ครอบครัวนั้นน่ารักดี พ่อแม่พันเชือกสีขาวบนตัวเด็กชาย มัดมือและแขนทั้งสองข้าง ต่อไปเชือกจะรัดแน่น พวกเขาจะเจ็บปวดจากสายใยพวกนั้น มันยังมีเชือกสีอื่นที่พันเขาและเธอไว้กับการงาน ภาระ ความหวัง ความฝัน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง หรือสัมพันธ์ลับบางอย่าง หญิงสาวสะบัดหัว กะพริบตาถี่ๆ เชือกพวกนั้นพลันเลือนหาย เหลือแต่ฝูงปลาดุกตะกละตะกลามตรงหน้า เมื่อไม่เหลือเศษขนมปัง พวกมันก็กระจายตัวออกไป ผืนน้ำกลับมาสู่ความราบเรียบ แต่มีสิ่งหนึ่งยังคงอยู่ตรงนั้น เธอเขม้นมอง มือแตะก้อนหิน ค่อยๆ กระถดตัวลงเข้าไปใกล้ สิ่งที่เคลื่อนไหวเชื่องช้านั้นยังมีชีวิต เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ปลาดุกตัวหนึ่งเหลือร่างกายเพียงซีกเดียว แนวก้างกลางลำตัวเห็นเป็นซี่สีขาวเด่นชัด ยังเหลือเนื้อติดส่วนหางและหัว เครื่องในซ่อนอยู่ใต้ผิวเนื้อส่วนที่ยังยึดกับก้างไว้ แล้วปลาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตอดเนื้อส่วนหาง มันว่ายหนี แต่ยังไม่เร็วพอจะหลบพ้น ปลาดุกอีกตัวเลียบเข้ามาแทะกลางลำตัว จากนั้นปลาอีก 4-5 ตัวก็สลับกันเข้าไปตอดเนื้อในซากที่ยังมีชีวิตนั้น แม้จะเชื่องช้า แต่มันยังว่ายวนต่อไป ก่อนที่ปลาทั้งหมดจะหายไปในน้ำลึก มันคงอยู่ได้อีกไม่นาน มันจะเคยเอาหัวพุ่งชนก้อนหินไหม ถ้าเป็นคนอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ แต่คนเราก็อดทนได้อย่างเหลือเชื่อ คนที่ทุกข์เจียนตายแต่ยังรักษาชีวิตแสนเข็ญไว้ก็มีไม่น้อย

เธอเดินกลับขึ้นมาบนสันอ่าง หินใต้ฝ่าเท้าดังก๊อกแก๊กๆ แต่เธอไม่ได้ยินอะไรเลย

 

ฝนตกลงมาในคืนนั้น ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงเกือบเที่ยงคืน ตอนนี้น้ำคงท่วมทางเข้าออกทุกซอย โชคดีที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันทำงาน เธอนึกถึงน้ำที่ล้นตามท่อระบาย ขยะไหลค้างตะแกรงเหล็ก อัดแน่นอุดทุกทางระบายสู่คลองสายหลัก ต้องมีปลาจากเขตอภัยทานที่แออัดในสระของวัดเล็ดลอดออกมา ปลาที่ตื่นเต้นลิงโลดกับน้ำใหม่พร้อมกับตาข่ายดักรออยู่ปากท่อ ข้ามพ้นเขตวัด ปลาก็คืออาหาร ให้แม่บ้านได้เลือกซื้อหาในตลาด ทุบหัว ควักไส้ กลายมาเป็นปลาดุกฟู ผัดเผ็ดปลาดุก หรือปลาดุกย่าง เป็นอาหารให้ทุกคนในบ้าน ทำบุญให้กับคนตายและกลับไปถวายพระที่วัด เธอยังนึกถึงปลาที่เหลือเนื้อติดก้างตัวนั้น ถ้ามันเล็ดลอดมาได้คงถูกคนหาปลาโยนทิ้ง เธออยากรู้ว่าครั้งแรกที่เนื้อหลุดหายมันเกิดขึ้นได้ยังไง มันอยู่มานานแค่ไหน และจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด ปลาทองในตู้ปลาตู้ใหญ่ที่สำนักงานของเธออยู่มานานมาก นานจนเธอจำไม่ได้ หรือผู้จัดการเอาตัวใหม่มาเปลี่ยน เธอก็ไม่รู้ เพราะหน้าตามันเหมือนกันหมด ไม่มีใครจำได้หรอก เธอเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานบริษัทสินเชื่อเพื่อการลงทุนแห่งนี้เมื่อห้าปีก่อน ปลาทองพวกนี้มีอายุถึงห้าปีเลยเหรอ? พวกมันว่ายวนอยู่อย่างนั้น มองดูคนเข้าออก คนทำงาน การเจรจาต่อรอง การล่อลวงโน้มน้าว ความโลภ กำไรขาดทุน รุ่งเรืองร่ำรวยจนถึงสิ้นเนื้อประดาตัว มันว่ายไปมาอยู่ในตู้เหมือนไม่รู้สึกนึกคิด ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการแทะทึ้งของพวกมนุษย์ ไม่เติบโต กินอยู่มีชีวิตว่ายวนในโลกอันคับแคบ หรือพวกเราจะเป็นเหมือนปลาทองในตู้นั่น ถ้าเธอพูดออกไปเพื่อนร่วมงานต้องว่าเธอพูดอะไรเพ้อเจ้อไม่เข้าท่า “โง่เหมือนปลาทอง” ใครๆ ก็ว่ากันอย่างนั้น ถ้าใครเป็นเหมือนปลาทองจะเท่ากับโง่ เพราะมันเป็นสัตว์ความจำสั้น หรือแทบไม่มีความจำเลย ถ้าไม่อยากโง่ก็เงียบไว้ ตั้งแต่เธอรู้จักเก็บงำถ้อยคำที่ไม่ควรพูด ปั้นแต่งถ้อยคำที่คนอยากได้ยิน ตัวเธอก็กลายเป็นระบบปฏิบัติการหนึ่ง เสร็จสิ้นภารกิจก็กลับมาเป็นตัวเอง

แต่การเป็นตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธออีกเช่นกัน

 

หลังฝนตกท้องฟ้าวันอาทิตย์กลับมาแจ่มใส เสียงเด็กเล่นดังมาจากที่ไหนสักแห่ง คงเป็นที่ดินรกร้างหลังหอพัก หญิงผู้นั้นนอนนิ่งฟังในยามบ่ายคล้อย เสียงหัวเราะ ตะโกนโหวกเหวก ร้องเพลง พูดคุยกัน เสียงแหลมเล็กนั่นเหมือนฟองสบู่ที่มีรุ้งละลายอยู่ข้างใน เหมือนขนมสายไหมที่ละลายในปาก ปลายลิ้นแลบเลียแตะรสหวานเรื่อยๆ มันชวนให้ง่วงเคลิ้ม เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย วิ่งไปทางโน้น ไปทางโน้นอีก ดึงๆ ปล่อยไป ปล่อยไป ปล่อยให้สูงขึ้น สูงขึ้นไปอีก เธอหลับตาฟังเหมือนลิ้มรสขนมหวาน แต่เพียงชั่วไม่นาน เมื่อนึกไปถึงตอนที่เด็กๆ พวกนี้โตเป็นวัยรุ่น พวกเขาอาจไม่เหลือเสียงหัวเราะเช่นวันนี้ รอยยิ้มนั้นเธอยังจำได้ มันเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลบนสันอ่าง หลังเธอให้อาหารปลาเสร็จ มันไม่ใช่เชือก แต่เป็นโซ่ตรวน แม้เธอจะกะพริบตาแค่ไหนมันก็ไม่เลือนหาย เธอรู้ดี มันจะล็อกติดบนข้อเท้าข้างใดข้างหนึ่งของผู้ต่อต้าน เธอเห็นมันบนข้อเท้าของเด็กสาวที่เล่นกีตาร์ร้องเพลงริมฟุตปาธ ป้าที่แจกใบปลิวในสวนสาธารณะ ครู นักเรียน พ่อค้าแม่ขาย คนส่งอาหาร ใครก็อาจถูกมันพันธนาการที่ข้อเท้าได้ หากคนนั้นคือผู้ต่อต้านขัดขืน เธอยกมือส่งสัญลักษณ์ให้เขา เด็กหนุ่มยิ้มรับเหงาๆ ดวงตายังเปล่งประกาย เขายกมือตอบรับด้วยสัญลักษณ์เดียวกัน ไม่มีใครตะโกนส่งเสียง พวกเขาแสดงออกต่อกันเงียบๆ คนรุ่นเธอและก่อนหน้ากลายเป็นปลาทองในตู้มหึมา บ้างกลายเป็นปลาดุกที่รุมยื้อแย่งอาหาร ทำแม้กระทั่งกัดกินเนื้อพวกเดียวกันเอง แต่พวกเขาอาจไม่รู้ก็ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่การแสร้งไม่รู้ ไม่อยากรู้นี่สิ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยตัวจมลงบนที่นอน เธอจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ลึกลงไปในโพรงลึกลับดำมืด เสียงเด็กๆ ไกลห่างออกไป ไกลออกไป เกือบเป็นความสงัด เสียงเตือนจากแอพพ์ไลน์ในสมาร์ตโฟนก็ดังแหวกพื้นผิวความเงียบขึ้น พาเสียงอื่นมาอัดแน่นเต็มห้องเช่นเดิม “พี่ฉันคงทนไม่ไหวแล้ว” … เสียงเตือนดังรัวต่อเนื่องเหมือนคนพูดไม่หยุด เธออ่านแค่ประโยคแรก ก่อนวางสมาร์ตโฟนคว่ำหน้าลง ปล่อยข้อความให้ทะลักล้นกองอยู่ตรงนั้น นี่ยังไงเส้นเชือกของเธอ พุ่งสายมาจากทุกทิศ ลอดผ่านช่องประตูหน้าต่าง ทะลุผนังกำแพงเข้ามาเพื่อมัดแขนขาแล้วฉีกทึ้งเธอเป็นชิ้นๆ “ตอนแม่เราเดือดร้อนป้าก็ช่วย เราก็ต้องเห็นใจป้าบ้าง” “หนูเข้าใจค่ะป้า หนูขอโทษ” เสียงป้าดังมาจากปลายสายเมื่อหลายวันก่อน หลังจากไถ่ถอนบ้านออกจากธนาคาร แม่ก็สร้างหนี้ใหม่ มันเป็นความสามารถเดียวของแม่ ส่วนอีน้องสาวหน้าโง่ก็ทนให้ผู้ชายซ้อม ตอนนี้ดันท้องขึ้นมาอีก ล่วงเลยมาจนเด็กตัวโตเกินกว่าจะควักคว้านออก “พี่มันคนใจดำ” “ใช่! แล้วยังไง?” หลังการถกเถียงก่นด่า ยังมีการโอนเงินอีกหลายรายการ ความรักความชังกลืนเป็นเนื้อเดียวกันจนยากจะแยกออกเหมือนดินน้ำมันต่างสีที่พวกเขาเคยนวดเค้นเล่นด้วยกันตอนเด็ก “ถ้าคลอด ฉันขอไปอยู่กับพี่สักพักนะ” “ไม่ได้!” แม้จะชอบเด็ก แต่เธอจะทนเด็กคนนี้ไม่ได้ เด็กที่จะเป็นเชือกเส้นหนึ่งซึ่งผูกเธอเอาไว้ เด็กที่เธอจะรักและชังมากจนเกินไป เด็กที่จะพาเธอกลับมาสู่วังวนเดิม ไปเป็นพี่สาวคนโตคนเดิม เป็นปลาที่เหลือแต่ก้างตัวนั้น ยังดีที่ตอนนี้น้องชายคนเล็กยังไม่สร้างเรื่องเดือดร้อน จนต้องฉุดกระชากมือเธอให้เข้าไปช่วย “ถ้าพี่ไม่ช่วย มันเอาฉันตายแน่คราวนี้” แล้วมันก็ตามมาอีกหลายคราครั้ง ถึงตอนนี้มันจะเป็นนักพนัน นักต้มตุ๋น คนค้ายา อาชีพต่ำทรามกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายก็มาก มันจะเลือกเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว พอกันทีกับเรื่องบ้าบอพวกนี้ ทำยังไงเธอถึงจะหลุดพ้นจากมันไปได้ ทำไมเธอไม่ไปทำงานต่างประเทศ ไปเป็นสาวโรงงานที่เกาหลีหรือที่อื่นก็ได้ เธอจะได้ไม่ต้องขอให้ใครไม่มายุ่งกับเธออีก เธอจะไปเพื่อหายลับตลอดกาล เธอน่าจะไปตั้งแต่ตอนอายุไม่ถึงสามสิบ แต่เพราะพวกเขา เธอถึงไปไหนไม่ได้ ถ้าคุยกับเพื่อนร่วมงานตอนนี้เธอคงได้รับคำแนะนำให้เข้าวัดฟังธรรมนั่งสมาธิ แต่นิพพานไม่ใช่เป้าหมาย เธอต้องการแค่ตัดเชือกและโซ่ตรวนทั้งหมด ต้องการแค่หายใจโล่งจนสุดลมหายใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องคนในครอบครัว แต่เป็นทุกเรื่องทุกอย่างในชีวิต เสียงเด็กๆ หัวเราะสนุกสนานยังดังให้ได้ยิน ดวงตาเธอร้อนผ่าว ไอร้อนคงทะลักออกมาจากความเดือดดาลในหัว เสียงเตือนจากไลน์เงียบลงแล้ว อาจไม่มีเด็กฝังตัวในมดลูกของน้องสาวเธอก็ได้ มันอาจเป็นแค่คำมดเท็จ รูปอัลตราซาวด์ใครๆ ก็ทำได้ หามาจากไหนก็ได้ ตัวอ่อนเด็กนั่นไม่มีอยู่จริง อย่าให้ปุ่มปมที่งอตัวอวดแขนขากับสายรกปลอมๆ นั่นมาหลอกแก แกใจอ่อนอีกไม่ได้แล้ว เธอบอกตัวเองหนักแน่น ปากเม้มมิด มือลูบไปบนซี่โครงด้านขวา เนื้อตรงนี้เธอไม่มีเหลือแล้ว ขาข้างหนึ่งก็เหลือเพียงเนื้อติดกระดูก มันไม่เจ็บปวด มันแค่หายไป เธอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว นึกถึงความเจ็บปวดที่ค่อยๆ ลามมาจากหัวไหล่ขวา แขน มือ ซี่โครง ขาข้างขวา พวกนั้นไม่มีใบหน้า มันกัดแทะเธอทีละคำ ทีละคำ เนื้อน่องถูกกัดซ้ำขูดถึงกระดูก เนื้อหัวไหล่ ท้องแขนแหว่งวิ่น มดลูก ลำไส้ ปอดข้างหนึ่ง เธอยังเหลือหัวใจ ปอด และตับไตข้างซ้าย ขาและมือข้างซ้าย หัวยังอยู่ ยังมีใบหน้า เธอยังมองเห็น ยังมีลมหายใจ เธอเห็นปลาซากชีวิตนั้นว่ายออกไป เธอแหวกว่ายตามติด ยิ่งลึกลงไปเธอยิ่งมองเห็นเลือนราง ไม่นานก้างสีขาวนั้นก็เหลือเพียงจุดเล็กๆ ก่อนจะหายไปในความมืด แต่เธอยังต้องว่ายไปข้างหน้า ปะป่ายในห้วงสีดำหนืดหน่วงไร้ทิศ จวนเจียนจะสุดลมหายใจ แรงเธอไม่เหลือ เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เหมือนฮุบเอาอากาศเข้าเต็มปอด จนแผงอกยกขึ้น ตัวเธอกระตุกแรงเหมือนถูกกระชากขึ้น แสงวาบกระทบม่านตา เย็นแล้ว แสงจากหน้าต่างนี่เอง ราวผุดจากห้วงน้ำลึกเย็นเยียบ แสงที่ต้องตกอบอุ่นสบายตา ไม่เหมือนแสงของวันไหน ใกล้เคียงที่สุดคงเป็นแสงกระทบพุ่มไม้ริมชานบ้านในเย็นหนึ่งตอนเธออายุราว 4-5 ขวบ คลับคล้ายว่าจะอุ่นไอเช่นนี้ คราบวาวน้ำฝนทิ้งรอยบนฝ้าเพดานเมื่อนานมาแล้วกระเพื่อมไหวช้าๆ ขอบเส้นค่อยๆ ขยายวงกว้าง อีกวงหนึ่งผุดซ้อนขึ้น อีกหลายวงตามมาไม่หยุดเหมือนผุดขึ้นจากตาน้ำ แต่ละวงเคลื่อนซ้อนบิดขอบพลิ้วไหวชวนมอง เกิดเป็นริ้วลายแปลกตาบนฝ้าเพดาน แสงตกกระทบสะท้อนเป็นสีทองอ่อนนุ่มอาบไปทั้งห้อง น้ำหยดหนึ่งหยดลงบนใบหน้า เธออ้าปากรอลิ้มรส ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี เพียงหยดเดียวความกระหายทั้งหมดของเธอก็ดับลง ความคับข้อง แค้นเคือง ความกังวลหนักหน่วงในเชือกแห่งพันธะทั้งมวลค่อยๆ คลายบ่วงไปด้วย เนื้อตัวเธอเบาหวิว ยกลอยขึ้นจากที่นอนช้าๆ เหมือนไร้น้ำหนัก เธอคิดว่านักบินอวกาศคงรู้สึกเช่นนี้ ความรู้สึกของผู้ถูกแทะทึ้งไม่เหลืออยู่ แม้จะพยายามนึกถึงเธอก็นึกไม่ออก ทั้งที่มันเพิ่งผ่านพ้นมาไม่กี่วินาทีก่อนหน้า หรือว่าจะยาวนานกว่านั้น เธอเริ่มไม่แน่ใจเรื่องเวลา จะค่ำแล้วเสียงหัวเราะของเด็กยังกังวานใส วาวน้ำจากฝ้าเพดานแผ่วงเป็นเส้นคลื่นบนผนังห้อง ริ้วน้ำระยับวับวาวเปิดหน้าหนังสือที่อ่านค้าง เฟิร์นต้นเล็กดูราวกับดงสาหร่ายในสารคดีโลกใต้ทะเล ใช่ สัปดาห์ก่อนเธอได้ดูสารคดีเรื่องปลาทอง เขาว่าปลาทองในธรรมชาติสามารถตัวโตหนักถึง 30 กิโลกรัม ว่ายน้ำได้หลายร้อยกิโลเมตร อยู่ในแม่น้ำและหาอาหารเหมือนปลาอื่น มีภาพชายคนหนึ่งอุ้มปลาทองท้องป่องห้อยขนาดเท่ากระสอบใบใหญ่ ปลาทองไม่จำเป็นต้องอยู่ในตู้ปลาก็ได้ น่าสงสารที่พวกมันต้องถูกกดทิ้งในชักโครก ต้องว่ายวนและตายในปฏิกูล ถ้าไม่อาจหาทางรอดสู่แหล่งน้ำได้ ทั้งที่มันสามารถมีชีวิตได้นานหลายปี สารคดียังบอกอีกว่า ปลาทองมีความสามารถในการจดจำ มันจำตำแหน่งจากสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ทำให้มันว่ายน้ำไปในที่ต่างๆ ตลอดสายน้ำ หาอาหารและมีชีวิตด้วยตัวเองได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…

พวกเขาจะเติบโตในตู้ปลาสีขุ่นน้ำเน่าเหม็น เธอพูดกับเจ้าของเสียงหัวเราะเริงรื่นนั้น นั่นไง เธอเห็นพวกเขาแล้ว เด็กชายวัยประถมสองคนกับเด็กหญิงวัยอนุบาลตัวเล็กคนหนึ่ง เติบโตอย่างเข้มแข็งนะ พวกเธออาจชนะก็ได้ ถ้าพวกเธอไม่ชนะ ลูกของเธออาจชนะ ถ้าฉันอายุน้อยกว่านี้ มีแรงพลังมากกว่านี้ ฉันจะยังอยู่ที่นี่หรือจากไป หญิงสาวถามตัวเองขณะมองดูเด็กๆ โบกมือให้ เธอส่งยิ้ม แสงอบอุ่นกำลังเรียกเธอเข้าไปสู่ คงเป็นที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นที่ที่เธอฝันถึงก็ได้ เธอลอยล่องไปอย่างใจคิด เวลามีไม่มาก แสงอ่อนอุ่นกว่าเดิม

สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เธอรีบไปยังที่แห่งนั้นก่อนแสงสุดท้ายจะมอดดับลง

 

เด็กทั้งสามไม่สนใจว่าวอีกต่อไปแล้ว เด็กชายวัยหกและเจ็ดขวบบอกว่า พวกเขาเห็นมันจริงๆ ผู้ใหญ่ได้แต่หัวเราะจินตนาการอันล้ำเลิศของวัยเยาว์ เด็กหญิงตัวเล็กก็เห็น ตัวใหญ่เท่านี้เลย เด็กหญิงกลางแขนจนสุดเท่าที่แขนเล็กๆ นั้นจะกางออกไปได้ ดวงตายังเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น ว่าวหรือเปล่า? เด็กทั้งสามรีบส่ายหน้าพร้อมเพรียง ปลาทองจริงๆ พวกเราเห็นปลาท้องยักษ์จริงๆ มันว่ายอยู่บนฟ้า มองมาที่หนูด้วย ผู้ใหญ่อมยิ้ม พึมพำว่าคิดได้เป็นตุเป็นตะเลยนะ

ผู้เช่าห้องชั้นห้าแจ้งว่ามีน้ำหยดจากระเบียงชั้นบนสุด ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของหอพักคิดว่าเจ้าของห้องคงยังอยู่ที่ทำงาน ท่อน้ำหลังห้องอาจรั่ว ต้องดูมิเตอร์น้ำด้วย… ความคิดต่างๆ กระเจิงหาย ทันทีที่ประตูบานนั้นเปิดออก ใบหน้าปะทะไอเย็นชื้น กลิ่นสดชื่นไม่เหมือนที่เคยรู้จัก เบื้องหน้า ผนังห้องหมาดน้ำ มีคราบน้ำหลายระดับราวกับริ้วคลื่น ไล่ตามองไปตามฝ้าเพดาน บนนั้นเต็มไปด้วยวาววงเหลื่อมซ้อนสวยงาม ยังมีน้ำหยดลงบนผืนทรายละเอียดที่ราดพรมเต็มพื้น ลองกดดูยังเปียกแน่น ชั้นหนังสือเต็มไปด้วยตะไคร่เขียว หนังสือเปียกชุ่มแต่ยังคงรูป หมึกพิมพ์ซึมซ่านออกมาราวสาหร่ายห้อยย้อย ไม้น้ำแทรกใบกลายเป็นที่คั่นหนังสือ เฟิร์นกอใหญ่สามกอตั้งอยู่ติดผนัง มันไม่มีทางยกเข้าประตูห้องมาได้ เตียงนอนหมอนผ้าห่ม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงานยังมีแฟ้มเอกสารตั้งอยู่ แก้วกาแฟเปื้อนคราบวางบนโต๊ะ ร่องรอยที่ปรากฎชวนให้คิดว่าเจ้าของห้องเพิ่งเปิดประตูออกไป

เสมือนว่าห้องนี้เคยอยู่ใต้น้ำมาก่อน และน่าจะเป็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ •