ผีในบ้าน | เรื่องสั้น : วาริส วารินทร์กวี

เรื่องสั้น | วาริส วารินทร์กวี

ผีในบ้าน

 

1.

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผี จนวันที่พ่อเข้าทรงและทำร้ายแม่ ผมเห็นกับตาในคืนนั้นพ่อเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เหมือนว่านั่นไม่ใช่พ่อที่เรารู้จัก ชายคนนั้นกลายร่างคำรามราวกับเสือสมิง น้องชายผมหวาดผวากลัวจนตัวสั่น ปีศาจในร่างพ่อขย้ำแม่จนเลือดออก ผมวิ่งเข้าไปดึงร่างกายอันกำยำนั้นไว้ แต่ผมสู้แรงไม่ไหวหรอก ผีที่สิงอยู่ในตัวพ่อแกร่งกล้ายากจะใช้กำลังเข้าป้องกันหรือต่อสู้

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พ่อถูกผีสิง แม่ปรึกษากับตาว่าจะพาพ่อไปรักษากับหมอไสยศาสตร์ที่จังหวัดตรัง ว่ากันว่าหมอคนนี้จะรักษาพ่อให้หายได้ ผมก็ไปด้วย อย่างน้อยหากพ่อหายผมก็ไม่ต้องทนเห็นแม่กับน้องร้องไห้อีก กว่าน้าและญาติๆ จับพ่อมัดขึ้นท้ายรถกระบะได้ ก็เล่นเอาผมต้องไปนั่งหลบอยู่ในสวนหลังบ้าน ตอนนั้นผมทั้งกลัวทั้งอยากรู้ว่าผีตนใดกันที่เข้าร่างพ่อเพื่อมาทำร้ายแม่ ผีตนนี้ต้องการให้ครอบครัวเราพังทลายหรือเปล่า ตอนนั้นผมไม่รู้ ผมทำได้เพียงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

ยังจำภาพตอนที่หมอบ้านคนนั้นเอามีดพกเล่มเล็กมาชี้ตรงอกผม ริมฝีปากเขามุบมิบ ผมเดาเอาว่าเขากำลังร่ายคาถาบางอย่าง แต่ก่อนหน้านั้นน่ะสิ พ่อของผมอาละวาดราวกับเสือ คำรามออกมาอย่างน่ากลัว แม่ทำใจกับภาพที่เห็นไม่ได้จนน้าต้องหิ้วปีกนั่งบนม้าหินอ่อนไม่ไกลจากสำนักหมอ แต่ผมก็ยอมไม่ขยับไปไหนแม้ว่าพ่อจะกลายร่างเป็นอื่น ยังคงนั่งจ้องมองด้วยตาคู่นี้อย่างไม่ละสายตา

หมอผีเมืองตรังคนนั้นเอาหมากพลูมายัดไว้ในปากให้พ่อเคี้ยว ผมเห็นแค่แววตาของแกตอนนั้นรู้ทันทีว่าต้องมีคนมัดไว้ไม่งั้นเอาแรงพ่อไม่อยู่แน่นอน ก่อนกลับหมอยื่นรากไม้อะไรก็ไม่รู้ให้แม่โดยกำชับว่าต้องเอาไปฝังไว้รอบบ้านทั้งสี่ทิศ ตอนนั้นพ่อโดนคาถาอะไรก็ไม่รู้ แต่ผมเห็นแกล้มพับหลับไป ภาพในตอนหมอแก้ผีให้พ่อช่างพร่าเลือน ในหัวของผมคิดแค่ว่าพรุ่งนี้วันจันทร์ต้องไปโรงเรียน ซึ่งผมไม่ชอบ

แรกเริ่มเดิมทีพ่อเป็นคนขยัน กรีดยาง ถางป่า รับจ้างสารพัดเอาหมดขอให้ได้เงิน แต่อาการขี้เกียจมาออกช่วงสองเดือนก่อนนั่นแหละ ดึกคืนนั้นผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แม่กำลังปลุกพ่อไปกรีดยางในสวน แม้ใช้ทั้งน้ำเสียงอ่อนนุ่มและแข็งกร้าวสารพัดจะสรรหาคำ แต่พ่อก็ยังนอนแข็งทื่อเหมือนกับศพบนเตียง มิหนำซ้ำยังตะหวาดแม่เสียงดังอีกต่างหาก ผมทำเป็นไม่ได้ยินและข่มตาให้หลับเพื่อพ้นคืน

บ้านหลังนี้ก็สร้างตั้งแต่ผมเรียนชั้นประถมปีที่ 3 นับรวมๆ เกือบสิบปีมาแล้ว ผมไม่เคยเห็นผีตนใดมาหลอกหลอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดอาการผีอำที่เขาชอบพูดกันผมก็ไม่เคยโดน ที่น่าสงสัยคือผีจำพวกไหนกันที่มาสิงสู่พ่อในบ้านหลังนี้

แต่ที่แน่ๆ ผีตนนี้อยากให้ครอบครัวเราห่างเหินกัน เพราะพักหลังมานี้พ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน ปลีกวิเวกจากสังคม ก่อนจะไปหาหมอผีที่จังหวัดตรัง พ่อปลูกขนำน้อยเล็กๆ กลางสวนยางพารา พ่อหลับนอนที่นั่นเป็นส่วนใหญ่ จะมีก็แค่กลับบ้านมากินข้าวปลาเท่านั้นที่จะได้เห็นหน้าพ่อ ช่วงหลังๆ มาพ่อเป็นหนักไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจากับใครแม้แต่คนในครอบครัว ไม่แน่ใจว่าที่ขนำผีจะเข้าร่างพ่อหรือเปล่า แต่ในบ้านผมเห็นพ่อกลายร่างบ่อยครั้ง ภาพพ่อทุบตีแม่ครั้งนั้นผมจะโทษพ่อหรือโทษผีกันแน่

หลังการรักษาผลไม่เป็นไปตามที่คิด หรือหมอเมืองตรังคนนั้นไม่ขลังเหมือนที่เขาลือ เพราะพ่อยังคงหวาดระแวงไปเสียทุกเรื่อง หลังจากไปหาหมอมาแกกลับเลือกคบแต่เพื่อนที่เป็นวัยรุ่นในหมู่บ้าน บางคนอายุน้อยกว่าผมเสียอีก แกเริ่มเอาผ้าขาวม้ามาคลุมศีรษะเหมือนกับการคลุมฮิญาบของสาวชาวมุสลิม

ถึงอย่างไรผมก็ชักจะเชื่อเรื่องผีเข้าแล้ว ว่ากันว่าคนที่ถูกผีเข้ามันจะกัดกินตับ ไต ไส้ พุง ร่างของคนนั้นด้วย สังเกตว่าตอนดึกๆ พ่อกลับมาบ้านคว้าหม้อหุงข้าว ทอดไข่เจียว มีอะไรเหลืออยู่ในตู้กับข้าวคือเกลี้ยง เช้าวันนั้นน้องชายตื่นมาร้องไห้หาซูชิที่แม่ซื้อให้ ผมพลอยเศร้าไปด้วยเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผีในบ้านกินเสียเกลี้ยงกล่อง

เห็นได้ชัดว่าร่างกายที่เคยกำยำของพ่อตอนนี้มันซูบผอมลงอย่างน่าใจหาย แก้มตอบไม่ปกติ ครั้งล่าสุดที่ผมเห็นคนลักษณะแบบนี้คือในภาพยนตร์ซอมบี้แต่จำชื่อไม่ได้

คืนนั้นจันทร์ฉายฉาบทาทั่วราตรี พ่อปรากฏตัวขึ้นกลางดึกผมได้ยินเสียงก้าวเท้าเป็นจังหวะ แม่กับน้องหลับไปแล้ว ผมนอนเล่นเฟซบุ๊ก พ่อแง้มประตูหน้าต่างเข้าบ้าน มุ่งไปห้องครัว โขกสับวัตถุดิบอย่างรีบเร่ง ผัดในกระทะ ราวกับหมีกริสลี่กำลังหิวปลาน้ำเชี่ยว

แสงแดดส่องลอดใบลองกองพุ่งตรงเข้ามายังบานหน้าต่าง ผมสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายแม้จะจำได้ไม่มาก แต่เค้าโครงของฝันยังชัดเจน ในฝันพ่อกลายเป็นวัวถึก เขายาวกว่าสองวา สูงเท่าตึกสามชั้น รูปร่างลักษณะเป็นทรงของวัวทั้งหมดยกเว้นส่วนหัว ผมเห็นใบหน้าพ่อชัดเจน รูปลักษณ์ประหลาดน่ากลัว แต่การที่วัวตัวนั้นควบเท้าไล่ชนเราทีละคนนั้นน่าสยองยิ่งกว่า แม่ น้อง และผมวิ่งหนีวัวบ้ามาจนสุดขอบหน้าผา อุตส่าห์ส่งสายตาขอชีวิต แต่เขากางโค้งแหลมเหมือนคันศรนั้นยังคงพุ่งชนด้วยสายตาดุดันทะเยอทะยาน

ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าแม่กับน้องหายตัวไปไหน ความรู้สึกมันดิ่งเกินกว่าจะจดจำ แต่ภาพสุดท้ายก่อนผมจะหลุดออกจากห้วงภวังค์คือ ผมกระโดดหน้าผา ก่อนวัวถึกตัวนั้นจะเอาเขาแหลมๆ ของมันแทงยอดอกของผม

เช้าของวันแห่งฝันร้ายมากับข่าวคราวว่าวัยรุ่นในหมู่บ้านมีอาการคล้ายกับพ่อหลายคน บางคนตั้งข้อสงสัยว่าหมู่บ้านเรามีอาเพศบางอย่างที่ต้องจัดงานบุญเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย สิ่งที่น่าสงสัยคือคนกลุ่มอาการนี้มักออกไปไหนมาไหนด้วยกัน เหม่อลอย พูดจาน้อย โกรธกริ้วฉุนเฉียวง่าย และสุดท้ายคือทำร้ายคนในบ้าน เหมือนว่าเชื้อผีนี้กำลังแพร่กระจายไปกับผู้ชายแทบทุกวัย กลางวันหายตัว กลางคืนกลับบ้านมาด้วยอาการหิวโซ เหมือนผีดิบ พ่อเป็นคนไม่สนใจครอบครัวเมื่อไหร่กัน ตั้งแต่คืนนั้นแหละ คืนที่แม่ปลุกพ่อให้ไปกรีดยาง แต่ปลุกเท่าไหร่พ่อก็ไม่ตื่น แกยังหายใจ เพียงแค่ไร้จิตสำนึกก็เท่านั้น

แน่ล่ะ ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าผีมีจริง และมันอยู่ในบ้านของเรา!

 

2.

ล่วงเข้าคืนที่สามแล้วที่ชาวบ้านวังพระจันทร์จัดเวรยามเฝ้าระวังประจำหมู่บ้านยามราตรี แนวตะเข็บชายแดนเกิดเหตุความไม่สงบมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ระเบิดหรือกระสุนปืน หากแต่เป็นกลุ่มคาราวานลึกลับ ชาวบ้านทางฝั่งมาเลเซีย รัฐเคดะฮ์ เรียกว่า ฮานตู เมอนูงกัง กูดา แปลเป็นไทยตามศัพท์คือ ผีบนหลังม้า

ฮานตู เมอนูงกัง กูดา จะเคลื่อนไหวตอนเที่ยงคืนเท่านั้น ตามที่ประสบการณ์ของชาวบ้านพบเห็นเป็นครั้งคราว แต่ช่วงหลังกลับเพิ่มจำนวนสมาชิกมากขึ้น ม้าที่ใช้ขี่นับวันตัวยิ่งใหญ่ ผิดแปลกสายพันธุ์เอเชีย แม้ยุคนี้คนใช้รถเพื่อการขนส่งคมนาคม แต่พวกมันกลับเลือกใช้ม้าหนุ่มเป็นยานพาหนะ ชายชุดดำบนหลังม้าแต่ละคนร่างกายกำยำเพราะถูกฝึกมาอย่างหนัก เหตุผลที่ใช้ม้าในการเดินทาง ผู้ใหญ่บ้านวังพระจันทร์บอกว่าเพื่อเป็นการพรางตัวจากสัญญาณติดตาม

ฮานตู เมอนูงกัง กูดา ส่วนใหญ่มีชื่ออยู่ในหน่วยงานราชการ แต่เมื่อดวงตะวันตกดิน จะแปลงร่างจากเครื่องแบบเป็นชุดสีดำใช้ผ้าคลุมศีรษะ รองเท้าบู๊ต ใส่ถุงมือ เหลือไว้เพียงสองตาเป็นตะเกียงในราตรี

ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วที่พวกมันกบดานอยู่ในกองบัญชาการไทย-มาเลเซีย ความจริงอาจไม่มีใครรู้ต่อไปนั่นแหละ แต่หนุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านวังพระจันทร์ ยาวีสตาร์ ออรัง กูนัง และหมู่บ้านใกล้เคียงกำลังประสบปัญหาคนกลายเป็นผีดิบ เพราะยาที่กองคาราวาน ฮานตู เมอนูงกัง กูดา ขนมาในตอนกลางคืนเพื่อขายให้กับเจ้าพ่อฝั่งไทย และแพร่กระจายยาวิบัติไปทั่วอาณาเขตชุมชนชายแดนและส่วนอื่นๆ

แม้เวรยามจะลาดตระเวนไม่หลับไม่นอน กาแฟซองของมัสยิดหมดไปหลายแพ็ก แต่วิชาอาคมบนหลังอาชาของผีชายแดนกลับแรงกว่ากาเฟอีนในแก้วเสียอีก เวลาพวกนั้นเคลื่อนพล ชาวเขาแถวนั้นบอกว่าพวกมันควบม้ามาพร้อมกับหมอกภูเขาเป็นสาย ม้าที่ขี่ไม่ใช่ม้าธรรมดา ชาวบ้านเห็นกับตาว่ามันดีดเท้าเพียงครั้งเดียวก็ข้ามเขาทั้งลูกได้

แม้จะขี่ม้าผ่านกลางชุมชน แต่โปลิศ ฮาราม หัวหน้า ฮานตู เมอนูงกัง กูดา กอบดินดำขึ้นมาเพียงหนึ่งกำมือแล้วเป่าลมออกไปแค่นั้นทุกดวงตาก็บอดลงทันที

ชาวบ้านเอาไม่อยู่เพราะคนพวกนั้นแกร่งเกิน แต่ถ้าหากปล่อยให้ขนยาวิบัตินี้เข้าไปทุกค่ำคืนมีหวังได้กลายเป็นผีดิบกันหมดประเทศ

เมื่อวันก่อน อาหมัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของหมู่บ้านวังพระจันทร์ หอบเหตุผลไปชี้แจงถึงการมีอยู่ของฮานตู เมอนูงกัง กูดา คาราวานราตรี และได้ขอกองกำลังจากตำรวจ ทหารเพื่อจับกุม คุ้มครองชาวบ้าน สุดท้ายอาหมัดต้องยอมแพ้ต่ออาการเฉยชา และความเงียบงันในห้องแอร์ซึ่งมารู้ทีหลังว่า หน่วยงานราชการถูกร่ายมนต์ ให้หูหนวก ตาบอด ปากใบ้ ไปเสียแล้ว

เจ้าหน้าที่ทำได้เพียงบันทึกข้อความไว้อย่างเงียบๆ ซึ่งอาหมัดรู้ดีว่าคืนนี้ โปลิศ ฮาราม และกองทัพฮานตู เมอนูงกัง กูดา จะควบม้าข้ามเขามาทักทายชายแดนไทยเช่นทุกคืน

 

3.

กูนูง ยัง เมอกะห์

อันญิง เมอนารี

เลาท์ อาด้า อีกาน เบอเรอนาง

ดาลาม เดอวาน กัว

บินตัง มาซิห์ เบอร์ซีนาร

บทกวีภาษามลายูของชาวออรัง กูนัง ถูกขับขานขึ้นริมห้วยหน้าโถงถ้ำ ราตรีมาเยือนพร้อมความหนาวเหน็บกว่าที่เคย สายลมตะวันออกพัดผ่านเจือจางความสงบ เวรยามคืนนี้มีกองไฟที่คุโชนประกายสีแดงวาบ พวกเขาชุนฟืนให้เข้าที่อยู่เสมอเพื่อความอบอุ่น เสบียงคืนนี้ก็คือมันเผาอยู่ข้างก้อนเส้าทั้งสาม นิทานเรื่องคนหาปลายังคงถูกเล่าขานในเผ่าพันธุ์แห่งลำนำป่าไพร

เมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าบรรพบุรุษรุ่นบุกเบิกดินแดนสยาม นั่งเรือข้ามมหาสมุทรมาตั้งถิ่นฐานแห่งนี้ มีวิชาจับปลาโดยการเข้าไปในถ้ำ ท่องบทกวีตอนเที่ยงคืน เพียงไม่นานฝูงปลาก็หล่นลงมาจากเพดานถ้ำ เสมือนว่าคืนนั้นมีฝนปลาห่าใหญ่ตกไม่ขาดเม็ด

แต่วันเวลาล่วงไป บรรพบุรุษก็ล้มหายตายจาก วิชาบทกวีเรียกปลาก็ตายลงหลุมไปด้วย คืนนี้รอบกองไฟและสายลมเย็นพัดพาเรื่องราววิชาอาคมของคาราวาน ฮานตู เมอนูงกัง กูดา ทั้งการพรางตัว เสกเวทมนตร์ให้คนหูหนวก ตาบอด ใบ้กินในพริบตา มันทำให้พวกเขาหวนคิดถึงความสามารถที่ฝังรากอยู่ในบทกวีขึ้นมาจับใจ

ดึกดื่นคืนนี้พระจันทร์ฉายฉาบทาใบไม้ป่า แสงตะเกียงจากเวิ้งฟ้าสะท้อนน้ำในลำห้วยประกายระยิบระยับ ชาวออรัง กูนัง ยังคงขับร้องบทกวีออกไปตามสิ่งที่นึกคิดระหว่างไฟกำลังค่อยๆ กินฟืนเป็นเถ้าถ่าน

โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า โปลิศ ฮาราม และกองคาราวาน เพิ่งควบม้ากระโดดข้ามลำห้วยที่แห่งเสียงกวีไปเมื่อครู่

 

4.

คืนนี้เป็นอีกคืนที่ดวงดาวเรียงร้อยเหมือนสร้อยลูกปัดสวยงาม ชาวยาวีสตาร์บางกลุ่มปูเสื่อนอนชมท้องฟ้า ดวงดาวนับล้านเปล่งประกายสะท้อนแววตา เวรยามผู้ชายจำนวนน้อยนิดในหมู่บ้านยังคงทำหน้าที่ตรวจการเคลื่อนไหวของม้ามืด

ณ ที่ราบสูงเชิงเขาเป็นลานโล่งเหมาะแก่การควบม้าตอนกลางคืน หลายครั้งที่คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านได้ยินเสียงกีบม้ากระทบพื้นดิน แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่จะเห็นคนขี่ม้า แน่ละ โปลิศ ฮาราม ชายคนนั้นมีคาถาอาคมเกินกว่าเราจะรู้ตัว กองกำลังทหารลาดตระเวนทุกนายเอาแต่ส่ายหัวเมื่อคนในหมู่บ้านเข้าไปถามเรื่องการขนถ่ายสินค้า จะเป็นอะไรไปอีกเล่านอกจากเขามีของดี ของวิเศษ

เมื่อวานซืน ราไว บินตัง ชายฉกรรจ์ของหมู่บ้าน ออกอาละวาดเข้าไปกระโดดเต้นแร้งเต้นกาในสุเหร่า น้ำลายเหนียวฟูมปาก ดวงตาแดงก่ำ สติกระเจิดกระเจิง ที่น่ากลัวคือในมือของกุมพร้าด้ามโต มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เล่นเอาอีหม่ามต้องตามกรรมการมัสยิดมาช่วยจับมัดชายร่างกำยำไว้อย่างทุลักทุเล นั่นเป็นเหตุผลที่ชายชาวยาวีสตาร์เหลือน้อย จำนวนที่ว่าน้อยไม่ใช่ปริมาณแต่หมายถึงจำนวนคนที่ยังมีสติต่างหาก จะเป็นเพราะอะไรเสียอีกเล่า หากไม่ใช่ยาวิบัติบ้านั่น

ล่วงเลยเที่ยงคืนในหมู่บ้านแห่งดวงดารา บนเสื่อกกสาน เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังวาดนิ้วชี้ไปยังเวิ้งฟ้า ในม่านดวงตาของเขาสะท้อนภาพหมอกจางๆ สีขาวนวล และค่อยเปลี่ยนมาเป็นภาพม้ากำลังเคลื่อนพลอยู่เหนือกลุ่มดาวนายพราน ทารกน้อยหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจพลางตบมือรัวๆ

 

5.

ดึกดื่นคืนนี้ ท่องฟ้าโปร่ง มีเมฆเป็นบางส่วนซึ่งดาษดาไปด้วยดวงดาว แม่ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวพ่อสักพักใหญ่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววว่าชายวัยกลางคนจะลุกขึ้นไปหยิบมีดกรีดยางสักที ในแววตาของแม่ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่อยู่ ว่าค่ำคืนนี้ได้ต่างออกไป พ่อตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ไร้การตอบสนอง เนื้อตัวเย็นเฉียบเหมือนเพิ่งออกมาจากช่องฟรีซ นาทีนี้ผมเห็นแม่ก้มหน้าปาดน้ำตา ไม่ฟูมฟาย แต่มีความรู้สึก ในตอนนั้นแม่มั่นใจแล้วว่าคู่ชีวิตของเธอได้จากไปแล้ว แม่คงทำใจไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งเรื่องแบบจะมาถึง ซึ่งดึกดื่นคืนนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ตรงหน้าเธอ

จำได้ว่าผมนั่งอยู่มุมห้องน้ำ ดาวบางดวงร่วงหล่นในขณะที่ผมร่ำไห้ วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ไร้น้ำหนัก และว่างเปล่า ตอนนั้นน้องชายของผมกำลังหลับฝันถึงทุ่งหญ้าสีทองทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ผีเสื้อนับล้านกระหยับปีกบินเหนือเวิ้งฟ้า

นอกหน้าต่าง ค่ำคืนที่พ่อจากเราไป ผมกำลังแหงนมองท้องฟ้าโค้งกว้าง แม้ดาวบางดวงจะพร่าเลือนเพราะดวงตาของผมกำลังมีน้ำท่วม

ถึงอย่างไรก็ตาม หมอกสีขาวนวลเหนือท้องฟ้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันทำให้ผมรู้สึกกลัวแปลกๆ โสตประสาทของผมยังดีอยู่ เสียงกีบเท้าม้ากำลังวิ่ง ซึ่งผมแน่ใจว่าหลายตัว อากาศข้างนอกบ้านแปรปรวน ลมหนาวพัดระลอกล่าสุดคล้ายเสียงคำรามดังมาไกลๆ

โปลิศ ฮาราม และฮานตู เมอนูงกัง กูดา พวกเขามาแล้ว! •