หากเพื่อไทยหักหลังประชาชน การเมืองไทยก็เปลี่ยนโฉมหน้าทันที | ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๗)

 

หากเพื่อไทยหักหลังประชาชน

การเมืองไทยก็เปลี่ยนโฉมหน้าทันที

ฝ่ายอำนาจนิยม พวกนายทุนผูกขาด พวกชอบอ้างจงรักภักดี ก็จะชนะอีกครั้ง หากแต่ทว่ามันจะเป็นชัยชนะชั่วคราว เพราะประชาชนจะทนไม่ได้ และออกมาเต็มท้องถนน ฉันต้องยอมรับว่า คุณจตุพร พรหมพันธุ์ กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คือสองศาสดาพยากรณ์

น่าสนใจ สองคนที่มองโลกในแง่ร้าย กลับถูกต้อง มองได้ลึก มองได้ตรง แสดงว่าธาตุแท้ของมนุษย์ไม่มีเหตุผล บางกลุ่มหลงไปในอำนาจ บางกลุ่มหลงไปในมนต์ดำ

ทำไมเพื่อไทยถึงกล้าทำ กลายเป็นปัญหาปรัชญา ด้วยเพราะมันฝืนสามัญสำนึกอย่างสูงสุด นี้ต้องเรียกว่า ปรมัตถ์ทักษิณ ชินวัตร

ในทำนองเดียวกัน ทำไมฝ่ายอนุรักษ์กล้าสอยคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือกล้ายุบพรรคก้าวไกล ทำไมกล้าทำสิ่งวิปริตระดับนี้

ใครกันแน่สนใจแต่ตัวเอง ไม่สนใจประเทศชาติ

ฝ่ายซ้ายดูเกรี้ยวกราด เอาแต่อารมณ์ แต่ฉันว่าพวกเขาทำเพื่อประเทศชาติมากกว่า

ฝ่ายขวาคำก็ประเทศชาติ สองคำก็ประเทศชาติ สามคำก็สถาบัน สี่คำก็สถาบัน แต่ที่จริงล้วนเป็นความกลวง

มันผิด Common Sense มันผิดความชอบธรรม มันผิดเหตุผล แต่หากเราไปคุยกับพวกเขาแต่ละคน แต่ละคนก็ยังเปี่ยมด้วยสติปัญญา ยังพูดรู้เรื่อง ยังคงไว้ด้วยความน่ารักของมนุษย์ แสดงว่าเรามาถึงปัญหาปรมัตถ์

 

เช่นเดียวกับคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขาเป็นขวามาช้านาน เป็นขวาตกขอบมาหลายสิบปี แต่ทว่า ก็ยังไม่มีใครออกมาด่าว่า ด้วยเพราะเกรงในบารมีของความเป็นกวีของเขา แต่ในการเลือกนายกฯ ครั้งนี้ เขางดออกเสียง ประชาชนหมดความเกรงใจ เผางานของเขา

ในวันนี้เขาเขียนกลอน ‘เคารพ’ ออกมาปกป้องตัวเอง กลอนนี้น่าทึ่ง ไพเราะงดงามเป็นอันมาก หากแต่ทว่ามันผิดหมด มันสวนกับความจริงหมด นี้คือปรมัตถ์เนาวรัตน์ และจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ ที่จะอยู่ยาวนาน ลบไม่ออก สะท้อนให้เห็นว่า ความไพเราะของบทกวี ความสง่างามของบทกวี ไม่ได้ช่วยตัวมันเลย

เนาวรัตน์กับแอ๊ด คาราบาว ก็ไม่ต่างกัน

เพียงแต่คนหนึ่งเป็นกวี คนหนึ่งเป็นนักร้องเพื่อชีวิต

คนหนึ่งสุภาพอ่อนโยน คนหนึ่งเสียงดังโหวกเหวก

จะยังมีสิ่งใดน่ากลัวกว่าปรมัตถ์อีกหรือ ฉันไม่เคยเห็น

บัดนี้กรรมเก่ากลับมาสนองตัวเขาแล้ว

หลังจากที่รอดมานานมาก

ฉันทึ่งในปรากฏการณ์ปรมัตถ์นี้มาก ในสมัยก่อน จ่าง แซ่ตั้ง เขียน ปรมัตถ์เต๋า หนังสือที่ใครอ่านแล้วจะต้องเป็นบ้า มันไม่เป็นเต๋าอย่างที่สุด มันสวนทิศทางกัน ตรงข้ามกัน มันเลวร้ายขนาดที่ว่า เขาพยายามแปลคำว่า เชือกให้กลายเป็นคำบาลี เขาไม่อาจปล่อยให้เส้นเชือกเป็นเส้นเชือก เขากลายเป็นคนที่ไม่ใช่เต๋าอย่างสูงสุด ทั้งที่ตัวเขาก็อุทิศตนให้กับเต๋ามาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ

ฉันยอมรับคนรุ่นใหม่ ทึ่งในวิธีการคิดของพวกเขา และประทับใจในพลังงานของพวกเขา ข้อดีของพวกเขาคือ พวกเขามีอากาศของตัวเอง ตรงไปตรงมา และเดินหน้าต่อไปในวิถีทางของพวกเขา ข้อดีของฉันคือ ฉันยอมรับอากาศของพวกเขา ความแตกต่างของเราหากสรุปแบบห้วนๆ คือ พวกเขาคือคนในศตวรรษที่ ๒๑ ส่วนตัวฉันคือคนในศตวรรษที่ ๒๐ เราแตกต่างกัน วันหนึ่งฉันอาจกลายเป็นคนแก่ กะโหลกกะลา แต่ฉันก็ยังสามารถรวมพลังให้กลายเป็นจุด ยอมรับพวกเขาได้

การไปขวางพวกเขาคือการรบกัน และต่อให้พวกเขาแพ้ในวันนี้ ก็จะชนะในวันพรุ่งนี้ เพราะมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๐ มีแต่จะแก่เฒ่า ชราลง และล้มตายไปด้วยโรคภัย การยอมรับง่ายๆ แบบนี้เอง ที่เรียกว่า ยอมรับว่าเชือกก็คือเชือก

ทุกประโยค ทุกวลี เนาวรัตน์ด่าว่าตัวเอง

คนที่เข้าใจเขา และเขียนบทกวีโต้เขาได้อย่างสาสม กลับเป็นเพนกวิน คนที่ฉันไม่เคยคิดว่าเขาจะเขียนบทกวีได้

 

มองดูเผินๆ เหมือนสังคมไทยนี้น่าเบื่อยิ่งนัก วนไปก็วนมา ทุกเรื่องราวเหมือนไม่ไปไหน เราพายเรือในอ่าง วนกลับที่เดิม แต่ทว่า มันไม่เป็นเช่นนั้น พรรคก้าวไกลกำลังเหมือนพรรคราษฎร ที่ทำการปฏิวัติสยามในปี 2475 มันรุนแรงขนาดนั้น เนื้อมวลของมันเป็นอย่างนั้น หากแต่ทว่า หากเรามองแบบวันต่อวัน เราจะมองไม่ออก ต้องถอยหลังออกมายืนดู กว้างไกลออกไป เราจึงจะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของประวัติศาสตร์

การเมืองไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สภาวะปรมัตถ์ ที่เป็นจุดสุดยอดของความขัดแย้ง

ทุกอย่างจะเข้าสู่จุดตัดสิน

นี้คือ Judgement Day ที่มาแบบง่ายๆ แต่ทว่าทุกอย่างจะถูกเปิดโปง เปิดเผย กระแสนั้นจะปั่นป่วนไปทั่ว ไม่มีใครหนีพ้น

คุณเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ก็ถูกเปิดโปง ตัวเขาเองเปิดเผยตัวเอง

อย่างสุดที่ใครจะช่วยเขาได้

เขาเดินหน้าสู่การสูญพันธุ์

ทุกคนจะถูกลากขึ้นเขียง ในวัน Judgement Day

รวมไปถึงคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ แต่ละคนจะดิ้นรนด้วยกิริยาที่ต่างกัน ด้วยพลังต่างกัน แต่ก็สู่จุดหมายเดียวกัน

แต่คนที่น่าตื่นตะลึงที่สุด ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร

คนคนนี้หนีมาแล้วหลายศาล แต่คราวนี้ เขาไม่อาจหนี Judgement Day

เขาถูกลากขึ้นเขียงด้วย พร้อมกับพรรคเพื่อไทย ผลงานชิ้นเอกของเขา ที่กำลังกลายเป็นปรมัตถ์ ซึ่งไม่มีใครอ่านได้ มันเน่าจากข้างใน และลามเร็วมาก

ไม่มีใครจะไปห้ามได้

 

ความเน่านี้สังเกตได้จากคุณภูมิธรรม เวชยชัย และฉันเชื่อว่ายังมีอีกมาก เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ อาจมากถึงกึ่งหนึ่งในเพื่อไทย หากพวกเขาคุมอยู่ก็แล้วไป แต่หากคุมไม่อยู่ เพื่อไทยก็ต้องแตกออกเป็นสอง และนั่นคือความล่มสลายของทั้งพรรค

ครึ่งเน่าจะลากพาครึ่งดีให้เน่าหมดทั้งข้อง

เพราะ ส.ส.แต่ละคนมีสิทธิมีเสียงของตนทัดเทียมกัน มันจึงคุมไม่อยู่ ห้ามไม่ฟัง เตือนไม่ได้

เพื่อไทยจึงกลายเป็นรังงู แตกตัวออกมาเป็นฝูงงูเห่า งูจงอาง