ผ่าปมฉาวการ์ด ‘พิธา’ เป็น ตร.เก๊-อุ้มรีดทรัพย์ คดีเก่า-ถูกจับเมื่อปี 2554

ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนรุ่ม ที่แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาแล้วร่วม 2 เดือน แต่ก็ยังไม่เห็นหน้าค่าตา

ด้วยอภินิหารทางกฎหมาย และกับดักทางรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 จากการเลือกตั้ง ต้องยอมถอยให้เพื่อไทยขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ขณะที่เจ้าตัวก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีเรื่องแทรกซ้อนเข้ามาอีก

เมื่อถูกจับจ้องไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัวของนายพิธา ที่ทำหน้าที่คอยประกบดูแลความปลอดภัยในการเดินทางไปทำภารกิจต่างๆ ถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีข้อหาร้ายแรง

กระทบต่อชื่อเสียงของนายพิธาและพรรคก้าวไกล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งก็มีคำชี้แจงออกมาทันที โดยระบุว่าบอดี้การ์ดคนนั้นถูกส่งมาจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ไม่ได้สนิทสนมกับนายพิธาเป็นการส่วนตัว

และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

พร้อมยอมรับ รปภ.คนดังกล่าวถูกคดีจริง แต่ก็รับโทษเรียบร้อย และก็น่าจะมีโอกาสทำงานสุจริต

เป็นคำอธิบายที่น่าสนใจ แต่จะมีบทสรุปอย่างไร คงต้องติดตาม!!

การ์ดพิธา

ฮือฮาการ์ด ‘พิธา’ ประวัติฉาว

หลังการเลือกตั้งสิ้นสุด เมื่อผลออกมาว่าพรรคก้าวไกล ได้เสียง ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 ซึ่งแน่นอนว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ย่อมเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงจำเป็นต้องเพิ่มระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งก็จะเห็นว่าในการลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจของนายพิธา จะถูกประกบด้วย รปภ.ชายหัวเกรียน รูปร่างสันทัด หรือที่รู้จักกันว่า “บอดี้การ์ดพี่ต้น”

และด้วยกระแสความสนใจในตัวของนายพิธาที่เปี่ยมล้น จะเผื่อแผ่ไปถึงคนใกล้ชิด ในที่สุดก็มีการออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าบอดี้การ์ดของนายพิธานั้นเคยถูกดำเนินคดีข้อหาอุกฉกรรจ์ และแน่นอนว่าพาดพิงไปถึงตัวนายพิธาด้วย ว่าเหตุใดไม่มีการตรวจสอบประวัติคนใกล้ชิด

หลังจากการตรวจสอบก็มีความเคลื่อนไหว โดยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงกรณีนายศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี หรือพี่ต้น บอดี้การ์ดของนายพิธา ที่ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเคยต้องคดีแอบอ้างเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด อุ้มเจ้าของร้านขายของชำไปรีดทรัพย์ ว่า ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่บอดี้การ์ดคนนี้แล้ว จนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจน ระหว่างนี้ให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลนายพิธาแทน

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยืนยันว่านายพิธาไม่ได้ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะตัว รปภ.คนนี้ ถูกส่งมาจากบริษัทรักษาความปลอดภัย เพื่อให้เข้ามาทำหน้าที่ แต่ตอนนี้เพื่อความเหมาะสม ก็ให้พักการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า “บอดี้การ์ดพี่ต้น” ได้รับความชื่นชมจากด้อมส้ม แฟนคลับพิธา ที่คอยทำงานอยู่กับพิธาอยู่ตลอด พร้อมส่งกำลังใจให้บอดี้การ์ดพี่ต้นด้วย

ก่อนจะมีการขุดคุ้ยประวัติบอดีการ์ดพี่ต้น จนพบว่า พี่ต้น หรือนายศรีสุริเยน เคยถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมตัว พร้อมกับพวกรวม 3 คน กรณีอ้างเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ใช้ชื่อว่า “ผู้กองต้น” ก่อเหตุอุ้มเหยื่อซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำไปทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำ เงินสด 60,000 บาท รวมทรัพย์สินจำนวน 276,800 บาท ก่อนปล่อยตัวและข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินให้อีก

ซึ่งหัวหน้าชุดจับกุมในขณะนั้นคือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ แกนนำพรรคก้าวไกล ในวันนี้นั่นเอง

เป็นเรื่องฮือฮาในกลุ่มแฟนคลับอย่างยิ่ง

โดนจับเมื่อปี54

ย้อนคดีเก่าอุ้มรีดทรัพย์

สําหรับนายศรีสุริเยน เมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปพบว่า เคยถูกดำเนินคดีจริง โดยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ผบก.ป.ในขณะนั้น นำแถลงข่าวจับกุมนายศรีสุริเยน อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 9 ต.โพนเมือง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1089/2554 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2554

ข้อหาปล้นทรัพย์ในสถานที่ราชการโดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันหน่วงเหนี่ยงกักขังผู้อื่น โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถ สน.คลองตัน ถนนพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม.

โดยพฤติกรรมพบว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาร่วมกับพวก รวม 3 รายปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. จับกุมนายบุญส่ง อาภรณ์ อายุ 25 ปี ผู้เสียหายซึ่งประกอบอาชีพขายของชำ อ้างว่ามีหมายจับยาคดียาเสพติด

จากนั้นบังคับผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ขับเข้ามาที่บริเวณลานจอดรถกองปราบปราม คนร้ายได้ใช้มือตบศีรษะนายบุญส่ง และต่อยท้อง ก่อนบังคับเอาสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น แหวนทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 2 วง เงินสด 60,000 บาท รวมทรัพย์สินจำนวน 276,800 บาทไป และยังข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินให้อีก มิฉะนั้นจะมาจับอีกครั้ง จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พานายบุญส่งไปปล่อยไว้ที่บริเวณริมถนนตรงข้ามเซ็นทรัล ลาดพร้าว และพากันหลบหนี

ต่อมานายบุญส่งได้ไปขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ทางมูลนิธิจึงพาผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.

กระทั่งสืบสวนจากภาพกล้องวงจรปิด ทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีดำ ทะเบียน ฌฮ 2714 กทม. ซึ่งเป็นทะเบียนรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ที่มีการแจ้งหายไว้ที่ สน.ห้วยขวาง และบัญชีธนาคารที่คนร้ายให้ผู้เสียหายโอนไป เป็นชื่อของหญิงเชื้อสายกะเหรี่ยง ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ ส่วนประวัติเหยื่อไม่เคยมีประวัติคดีใดๆ หรือหมายจับคดียาเสพติดมาก่อน

ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าหนึ่งในคนร้ายมีชื่อในวงการว่า “ผู้กองต้น” ตรวจสอบพบว่าเคยมีประวัติการต้องโทษที่ สน.คลองตัน ถูกจับกุมในคดีข้อหาปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมฯ โดยมีบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจ (ปลอม) ระบุชื่อ ร.ต.อ.ศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี ตำแหน่ง รอง สว.อก. (ฝ่ายอำนวยการ 1) บก.ตปพ. (191) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัว

จากนั้นชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. ได้นำภาพนายศรีสุริเยน ไปให้ผู้เสียหายดู ซึ่งก็ยืนยันว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ทำร้ายร่างกายและเอาทรัพย์สินไป จึงได้ขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับ กระทั่งจับกุมตัวได้ดังกล่าว

เป็นคดีเก่าที่ถูกดำเนินคดีไปเรียบร้อย

ทำหน้าที่อารักขา

ชี้รับโทษแล้ว-มีโอกาสแก้ตัว

หลังจากเกิดเรื่องราว พล.ต.ต.สุพิศาล อดีต ผบก.ป. และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า เมื่อปี 2554 ตนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้แถลงผลการจับกุมผู้กองต้น พร้อมพวกรวม 3 คน ก่อเหตุอุ้มเหยื่อเจ้าของร้านขายของชำไปทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ มีทองรูปพรรณ ทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน และเงินสด 60,000 บาท รวมทรัพย์สิน 276,800 บาท ก่อนปล่อยตัวและข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินให้อีก โดยคดีดังกล่าว ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 12 ปี แต่ได้รับการลดหย่อนโทษและถูกปล่อยตัวมาเมื่อปี 2560 จากนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่ออยู่หลายครั้ง และเข้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทรักษาความปลอดภัยประมาณปี 2562

ในส่วนของการเข้ามาทำหน้าที่เป็นบอร์ดี้การ์ดของนายพิธา หัวหน้าพรรค ขอยืนยันว่าทางหัวหน้าพรรคไม่ได้รับทราบมาก่อน เนื่องจากบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นผู้จัดสรรคนมาให้ ซึ่งตนยังไม่มีโอกาสพบนายต้นอย่างจริงจังมาก่อน เห็นเพียงผ่านตา ยังเข้าใจว่าเป็นตำรวจมาก่อน เพราะตัดผมเกรียน บุคลิกภาพดี ไม่มีพฤติกรรมกร่างหรือก้าวร้าวแต่อย่างใด สำหรับการทำงานด้านต่างๆ ในพรรค นายต้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายพิธาในระดับหนึ่ง

แต่ในมุมของตนและคนในพรรคมองว่าทุกคนควรได้รับโอกาส ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือแม้แต่นักโทษ ซึ่งเวลานี้นายต้นก็ได้รับบทลงโทษตามกฎหมายไปแล้ว ควรให้โอกาสเขาในการทำงาน ซึ่งเรื่องของความเท่าเทียมเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคที่ให้ความสำคัญมาโดยตลอด

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะแน่นอนว่าเมื่อบุคคลกระทำความผิด ก็ต้องได้รับโทษ แต่หลังจากรับโทษแล้วจะได้รับโอกาสในชีวิตอีกหรือไม่

ก็ต้องพิจารณาและรอดูกันต่อไปว่าจะมีบทสรุปในตอนสุดท้ายอย่างไร!!