‘คนเขียนบทกำหนดชัด’ ต้องกำจัดก้าวไกลให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด!

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หรือ เสธ.แมว อดีตเลขาฯ สมช. (ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ประเมินฉากทัศน์การเมืองไทย โดยยืนยันว่า มันเหลือฉากสุดท้ายอย่างเดียวแล้วคือว่า “ต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล”

และ ณ ช่วงเวลานี้ เป็นการดําเนินกลยุทธ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้บรรลุตามเป้าหมายตามฉากทัศน์ที่ว่านี้

โดยกลยุทธ์ตรงนี้จะต้องถูกปรับตามหน้างานไปทุกวัน จากสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น กรณีมติที่ประชุมสภา เรื่องข้อบังคับ ในการจะเสนอชื่อคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาดำรงตำแหน่งนายกฯ รอบ 2 เราเห็นว่าก็มีความยึกยัก ก็ชัดเลยว่ามีความพยายามสกัดไม่ให้พิธามาได้อีก ก็จะจบไปตามที่คนเขียนบทวางไว้ พิธาไปต่อไม่ได้ เท่ากับเป้าหมายแรกหยุดพิธาได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล ก็จะต้องดูสเต็ปต่อไปหลังจากนี้

ทำให้ “โจทย์หิน” และภาระตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยที่จะต้องเป็นคนกําหนดตัวนายกฯ มานําเสนอ

เราก็ต้องดูเป็นรายวัน ว่าจะผ่านขวากหนาม ไปจบสรุปสุดท้ายวันที่เลือกนายกฯ อย่างไร

: ใครเป็นคนกําหนดเกม?

ที่จริงฉากทัศน์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ไม่ได้ต่างไปจากในอดีตที่มีการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ ก็คือ กลุ่มคนเดิมๆ ที่มีอํานาจ พูดง่ายๆ กลุ่มอํานาจนิยม กลุ่มอนุรักษนิยมจับมือร่วมกัน แล้วก็มีผู้กํากับการแสดง เขียนบทให้มันเดินมาตามนี้

ถามว่าทําไมเขาถึงบังคับวิถีให้บทมันเดินมาแบบนี้ เพราะว่าเขาไปกุมสภาพกลไกวุฒิสมาชิกและองค์กรอิสระ รวมถึงพรรคการเมืองที่เขาร่วมจับมือกันมา มันก็เลยทําให้การเขียนบทการแสดงมาตามขั้นตอน

: นายกฯ คนต่อไป น่าจะเป็นใคร?

ตามฉากทัศน์ที่เขาวางไว้เนี่ยที่จริงคนสุดท้ายต้องเป็น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แต่ถ้าจะไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร ก็เป็นคนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งน้ำหนักวันนี้ก็ยังเป็น “คุณเศรษฐา ทวีสิน” แต่ถ้าจะเป็นคุณเศรษฐาก็ “มีเงื่อนไข” อีกนั่นแหละว่าต้องไม่มีพรรคก้าวไกล

ปัญหาคือพรรคเพื่อไทยจะทําอย่างไรให้ไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในสมการ เพราะจับมือกับ 8 พรรค ทํา MOU กันแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดชัยชนะที่เกิดขึ้นมาแล้วทําให้เกิด 312 เสียงเกิดขึ้นบนสัญญาประชาคมที่ให้กับพี่น้องประชาชนว่าเมื่อผลการเลือกตั้งเกิดการจับมือกันของก้าวไกลกับเพื่อไทย เดิมทีเขาก็คาดการณ์ว่าเพื่อไทยอันดับ 1 ก้าวไกล 2 แต่พอดีมันสลับกลับหัวกลับหางกันเลยเกิดเป็นประเด็นปัญหา

แต่ถึงอย่างไรจากเงื่อนไขที่มีสัญญาประชาคมอยู่ว่าต้องกอดคอกันไว้ ตรงนี้ปัญหามันเลยตกกลับมาที่เพื่อไทย พอจะกําหนดตัวนายกฯ ว่าเป็นคุณเศรษฐา แต่มันไม่ตรงใจคนเขียนบท เพราะเคยประกาศไว้ว่าจะต้องมีก้าวไกล

ปัญหาที่กําลังถกแถลงกันตอนนี้คือ จะทําอย่างไร ว่าถ้ามีก้าวไกลแล้วทําให้กลุ่มวุฒิสมาชิกและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามมายกมือให้คะแนนให้

ซึ่งถ้าเราเห็นเค้าลางจากคนเขียนบท คนกํากับบท เขาก็คงไม่ยอมให้ผ่านตราบใดที่มีก้าวไกลอยู่ มันถึงจะเริ่มเห็นภาพมาชัดๆ ถ้าจะไม่มีก้าวไกล จะเป็นไปในรูปแบบใด…

: เพื่อไทยควรวางตัวอย่างไร?

ภาพที่สังคม-พี่น้องประชาชนคาดหวังคืออยากให้พรรคที่จับมือกัน 312 เสียงเป็นรัฐบาลร่วมกันให้ได้ พอมันมาเจอโจทย์นี้ ภาระก็มาตกกับเพื่อไทย ในวันนี้สังคมพอมองออกว่าตัวปัญหาคือวุฒิสมาชิกเป็นจําเลยที่หนึ่ง แต่เพื่อไทยก็ไปติดกับดักจนเป็นจำเลยที่ 2 ด้วย ประกอบกับเรื่องมติสภาสัปดาห์ก่อน คนก็เลยยิ่งไปมองว่า เอ๊ะ ทําไมผลมันมาออกแบบนี้ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญก็ชัดว่าทําได้ ทำไมถึงติดกับดักข้อบังคับตรงนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าประเด็นนี้ถูกมองแง่ร้ายต่อตัวประธานรัฐสภา อ.วันมูหะมัดนอร์ มะทา คนเลยสงสัยไปอีกว่า หรือมีการรู้เห็นเป็นใจกันหรือไม่

พอเป็นเช่นนั้น คนก็เลยย้อนกลับไปอีกนี่ไงตอนเลือกประธานสภา ถ้าตามครรลองประชาธิปไตยมันต้องให้พรรคอันดับ 1 พอบอกว่ามาเป็นคนกลาง ประเด็นนี้มันเกิดขึ้นแบบนี้ จนกลายเป็นอุปสรรคทําให้ก้าวไกลเสนอตัวนายกฯ ไม่ได้ แล้วเพื่อไทยจะไปยังไง

ตรงนี้เป็นภาระที่หนักหน่วงมาก เชื่อว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทยกําลังแสวงหาทางออก แต่ระหว่างนี้ก็มีคนเขียนบทมองข้ามลุกลามไปจนถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล เพื่อปลดสลักให้หรือไม่อะไรทำนองนี้

: หมากเกมยุบก้าวไกลมีใครบางคนคิดจริง?

100 เปอร์เซ็นต์เลย ไม่ใช่ว่ามีคนคิด แต่มีคนคิดและออกแบบให้มันเดินไปอย่างนั้น หมายความว่าถ้าเพื่อไทยสลัดก้าวไกลได้ อาจจะอนุโลมยังไม่ยุบ แต่สาระจริงๆ ของ “คนเขียนบท” ไม่ว่า “พรรคก้าวไกล” จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็นรัฐบาล โอกาสจะถูกยุบยังมีอยู่ เพราะต้องการกําจัดพรรคนี้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

: หนังม้วนเดิมจบ (ไม่) เหมือนเดิม?

ตรงนี้ที่เขาอาจจะประมาทไปนิดหนึ่งเพราะว่าสภาวะแวดล้อมของประเทศเวลานี้มันเปลี่ยนไป เนื่องจากองคาพยพที่เขากํากับอยู่ไม่ว่าจะวุฒิสมาชิกไม่ว่าจะองค์กรอิสระ เขาสามารถเขียนบทแล้วไปจบแบบเดิมได้ แต่จบแบบเดิมครั้งนี้ผลมันอาจจะไม่เป็นแบบเดิม จากอดีตของก้าวไกลการจบไม่น่าจะเหมือนกัน มันจะเกิดการลุกลามของมวลชน

ถ้ายุบพรรคขึ้นมาจริงจะเกิดสภาวะการที่เรียกว่า อลหม่านได้เลย แล้วมันเป็นความอลหม่านที่คล้ายๆ ดูเหมือนมีความรุนแรง ที่จริงมันไม่ใช่ความรุนแรง แต่มันเป็นความอลหม่านในบ้านเมืองที่เกิดการเคลื่อนไหวรวมตัวจากที่ต่างๆ จำนวนมาก

สิ่งที่สําคัญที่สุดคนที่เคลื่อนไหวเป็นคนรุ่นใหม่ เขาไม่จําเป็นต้องออกมารุนแรง เขาก็จะเคลื่อนให้มันเกิดความสับสนอลหม่านในทางมวลชนระดับหนึ่งแล้วก็เคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย มีการปฏิบัติการข่าวสารต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีอิทธิพลต่อสังคมในปัจจุบัน

แน่นอนก็ส่งผลกระทบไปทุกมิติเลย ทั้งสังคมเศรษฐกิจการเมืองครบเครื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วก็จะเกิดการชะงักงัน พอเกิดการชะงักงัน สุดท้ายรัฐบาลไหนก็ไปต่อไม่ได้

การจะไปยุบเขา จะไปตัดสิทธิเขา จะเอากันให้ถึงที่สุดก็เห็นอยู่แล้วว่าก้าวไกลเป็นแมวเก้าชีวิต ไม่ตายหรอก แต่อย่างน้อยเขาซื้อเวลาไปได้ประมาณหนึ่ง

แล้วคนเขียนบทเขาก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะมาบริหาร แก้ประเด็นเศรษฐกิจ คราวต่อไปการต่อสู้ก็จะมีโอกาสชนะได้ เพราะว่าสิ่งที่เขาต้องการคือกําจัดก้าวไกลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วก็ยืมมือเพื่อไทยเป็นคนไปจัดการ เพราะมองย้อนไปอดีตของกลุ่มอํานาจนิยม-กลุ่มอนุรักษ์ที่เคยใช้บริการพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย แล้วก็พรรคชาติไทยพัฒนา มองแล้วว่ามือไม่ถึง พลังไม่พอที่จะไปจัดการก้าวไกลได้ ต้องใช้เพื่อไทยนั่นแหละเพราะเพื่อไทยก็ยังกึ่งๆ กลางๆ พอรับได้ แต่คนเชื่อว่าพรรคไม่เต็มใจหรอก แต่มันถูกสภาพบังคับ

ซึ่งตรงนี้พรรคเพื่อไทยถามว่าเขารับรู้ไหม ผมเชื่อว่าระดับบริหารรับรู้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือก มันก็ต้องเดินไปให้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก

: มองปฏิบัติการข่าวสารช่วงนี้ดำเนินยุทธวิธีอะไร?

ฝ่ายอํานาจนิยมก็ต้องพยายามดิสเครดิตก้าวไกลในทุกเรื่องแล้วก็เริ่มเห็นว่าเป็นไปไม่ได้จนต้องกลับมาจุดตรงนี้

เพื่อไทยก็ต้องปฏิบัติการข่าวสารในเชิงว่า ถ้าเป็นเรา จัดการได้ ในแง่เศรษฐกิจแก้ได้ แก้ได้ แก้ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่มันยากเพราะว่าพี่น้องประชาชน เขาถือว่าจุดหลักของเขาคือเขาต้องการปีก 312 เสียง แล้วจริงๆ ถ้าเราไปดูน้ำหนักให้ดีๆ การที่ก้าวไกลชนะ สะท้อนได้ว่า “เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องรองด้วยซ้ำไป” เพราะคนซื้อเรื่องปฏิรูปกองทัพ-ความมั่นคง-เรื่องการศึกษา เรื่องความเสมอภาคในการแข่งขันเศรษฐกิจ เป็นเรื่องหลัก ถึงทําให้ก้าวไกลชนะ

แต่แน่นอนปัญหาเศรษฐกิจของทุกประเทศมี แต่การที่พี่น้องประชาชนต้องการคือได้รับความยุติธรรมกับมีกินมีใช้ แล้วก้าวไกลเขาชัดเจน จะมาทําเรื่องสวัสดิการหรือเศรษฐกิจในแบบของเขา มีการตัดงบประมาณฝ่ายความมั่นคงเท่าไหร่อะไรอย่างไร พรรคอื่นๆ อาจไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับฝ่ายความมั่นคง ตัดอะไรไม่ได้ มันก็เป็นปัญหา จนไม่เกิดประสิทธิภาพ

สุดท้ายมองว่าจุดที่พี่น้องประชาชนพึงประสงค์คือเขาต้องการให้จบลงที่ 312 เสียง เพราะมีความชอบธรรมที่ประชาชนยอมรับ ฉะนั้น ถ้าจะเดินหน้าอะไรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 312 ยังอยู่ด้วยกัน

หากต้องใช้เวลาเชื่อว่าประชาชนอนุโลมให้ได้ เพราะที่เขาโดนกระทำกันมา 8-9 ปียังรอไหวเลย รอมาให้เพื่อเกิดวันที่เสียงประชาชนมีความหมาย แล้วจะรออีกไม่กี่เดือน ทําไมจะรอไม่ได้ มันก็เคยมีตัวอย่างในหลายประเทศที่การเลือกนายกรัฐมนตรีใช้เวลาลากยาว โดยที่ประชาชนยอมรับแล้วก็ไม่ได้โกรธแค้นด้วยเพราะมองว่ามันตรงตามเป้าประสงค์ของเขาไง

ที่สำคัญเขาก็เห็นชัดเจนว่าความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในประเทศมันมาจากกติกาวิปริต ไม่ใช่เกิดจากฝ่ายเราไปทําให้มีความชักช้า

ชมคลิป