ในอ้อมกอดฝ่ายอนุรักษ์ | สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

ในอ้อมกอดฝ่ายอนุรักษ์

 

การชิงประกาศวางมือของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนเกมการจัดตั้งรัฐบาล จะเริ่มต้นขึ้นนั้น

ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลอยตัวเหนือความขัดแย้ง

หากวันนี้ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของรวมไทยสร้างชาติอยู่

ย่อมถูกลากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสมการช่วงชิงอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จึงถือเป็นจังหวะก้าวที่ชาญฉลาด

อย่างน้อยตอกย้ำว่าการถอยไปยืนข้างหลัง ทำให้ การเคลื่อนไหว ของส.ว. และกลไกนอกสภาอื่นๆ

เป็น การเคลื่อนไหว”ธรรมชาติ”

มิได้มีวาระการเมืองที่จะสืบทอดอำนาจ แฝงเร้น อยู่เบื้องหลัง

แต่กระนั้น เชื่อว่าหลายๆไม่เห็นฟ้อง และแถมปักใจเชื่อว่า ระบอบจะเรียกว่าระบอบประยุทธ์ หรือระบอบอนุรักษ์นิยมก็ตาม ยังขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างแข้งแข็ง

และยืนทะมึนมีอิทธิพลอยู่ฉากหลังการเมือง อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง

แม้จะถูกคุกคามจากคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดเสรีนิยมใหม่ จนดูเหมือนจะไม่อาจต้านทานสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้

โดยเฉพาะหลังจากการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ที่ประชาชนเสียงใหญ่แสดงเจตจำนงที่จะถอยห่างออกจากขั้วอำนาจเก่าที่ผูกพันอยู่กับแนวคิดอนุรักษ์เข้มข้น

แต่กระนั้น ฝ่ายอนุรักษ์ที่อาจจะรวนเรในเบื้องต้น

แต่ด้วยที่หยั่งรากลึกมานาน และวางกลไกต่างๆเอาไว้ เพื่อสืบทอดอำนาจไว้อย่างแยบยล

ทำให้สามารถ ตั้งหลักและตีรุกกลับฝ่ายแนวความคิดเสรีนิยม ได้อย่าง รวดเร็ว เข้มแข็ง เป็นระบบ รุนแรง น่ากลัว ไร้ปราณี

อย่างที่เราเห็นเหตุการณ์วันที่ 19 กรกฏาคม ที่ทำให้ เกิด”ประหารซ้อนประหาร”ขึ้น

คือนอกจากจะปิดประตูไม่ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชิงนายกฯได้แล้ว

ยังตอกฝาโลงซ้ำผ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้นายพิธาหยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ด้วย

และก็ไม่ได้หยุดยั้งแค่นั้น ยังเดินหน้า”กวาดล้าง”มิให้ “ก้าวไกล”เข้าร่วมรัฐบาล

ซึ่งส่งผลสะเทือนไปยังกลุ่มเสรีนิยม โดยเฉพาะเพื่อไทยที่รับไม้จากก้าวไกลให้จัดตั้งรัฐบาลต่อ ด้วย

โดยฝ่ายอนุรักษ์ ทั้งในปีก ส.ว.และพรรคขั้วอำนาจเก่า นอกจากอ้าแขนโอบล้อมเอา เพื่อไทย สลับขั้วเข้ามาอยู่ในกลุ่มตนแล้ว

ยังตั้งโจทย์ยากให้พรรคเพื่อไทยแก้ด้วย คือ จะให้เป็นนายกฯหรือตั้งรัฐบาลได้ แต่ต้องไม่มีก้าวไกลที่ยืนยันที่จะร่วมขั้ว8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

ทำให้พรรคเพื่อไทยแม้จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่ก็ไม่สามารถเป็นผู้กำหนดเกมโดยอิสระได้

ต้องขับเคลื่อนไปตามที่ขั้วการเมืองเดิมต้องการ และอยู่ภายใต้อาณัฐของวุฒิสภา

ถามว่าเพื่อไทยรู้ชะตากรรมนี้หรือไม่

แน่นอนรู้ แต่ก็คงไม่มีทางเลือกมากนัก

จึงต้องจับตาว่าพรรคเพื่อไทย จะมีภูมิต้านทาน สามารถเป็นตัวของตัวเอง และเป็นผู้กำหนดเกม ได้ขนาดไหน

เพื่อไทย ที่เจ็บปวดกับการถูกกระทำจากขั้วอนุรักษ์มาตลอดจะสู้สุดฤทธิ์ขนาดไหน เพียงไร

หรือเมื่อเห็น”โอกาส”ที่จัดตั้งรัฐบาลแล้วก็พร้อมลดเงื่อนไขลงเพื่อก้าวไปถึงจุดนั้นให้เร็วที่สุด

แม้จะรู้ว่าที่สุดก็ถูกกลืนเข้าไปสู่ ขั้วการเมืองเดิม

และกลายเป็นกลไกการเมืองของปีกอนุรักษนิยมที่”พันลึก”อยู่กับการเมืองไทยอย่างยาวนาน

จนยากที่ใครจะเอาชนะได้

เพื่อไทยจะยินดีกับการอยู่ในโอบล้อมของปีกอำนาจเก่าอย่างไร และจะคิดว่ามันยั่งยืนขนาดไหน

นั่นคือสิ่งที่จะต้องตัดสินใจโดยสุขุมรอบคอบ

ไม่ให้พลาดหรือถูกหลอกอีก

—————-